๏ แสนรักร้อนฤทัยใครจะเห็น | |||
ดั่งแขกตีอกครวญกำสรวญเซ็น | มิได้เว้นวันเทวษเพราะเจตนา | ||
แต่เวียนปรามห้ามใจอาลัยสวาท | อย่าหมายมาดตรุณเรศกับเชษฐา | ||
ไม่ควรปรองดองชื่นชูชีวา | จึงสู้ฝ่าฝืนจิตต์คิดตริตรอง | ||
ก็เหลือดำรงทรงใจอาลัยรัก | จนอินทรีย์ฉวีพักตรก็คล้ำหมอง | ||
ประมาณปีก็ถึงสี่ปีปอง | แต่น้องครองทุกข์เทวษถวิลครวญ | ||
หวังจะฝากชีวาลัยไว้ในพี่ | ด้วยภักดีเดียวมุ่งบำรุงสงวน | ||
จึงพร้องสาราร่ำแต่คร่ำครวญ | น้องรัญจวนใจสวาทเพียงขาดใจ | ||
แม้เชษฐามิได้ปราณีสนอง | จะมีแต่หมองหม่นจิตต์ด้วยพิสมัย | ||
เหมือนวนว่ายอยู่ในสายสมุทร์ไท | จะพึ่งไม้ขอนยุดก็สุดมือ | ||
ดั่งบุรุษมุ่งสมรอับสรสวรรค์ | ที่ไหนนั่นจะได้ต้องประคองถือ | ||
วิหคหาญผ่านสมุทร์ให้โลกลือ | แต่กระพือปีกบินก็สิ้นแรง | ||
ดั่งเฉาชายหมายเจาะไศลหลวง | จะหาดวงวิเชียรรัตนจำรัสแสง | ||
เหมือนมยุเรศกระสันตวันแดง | กระต่ายแขย่งแขไขน้ำใจจง | ||
ถึงเพียรพากยากที่จะสำเร็จ | ตราบบรรลัยก็ไม่เสร็จสมประสงค์ | ||
ประหนึ่งน้องปองฝากชีวันปลง | ก็เห็นคงจะไผ่ผอมด้วยกรอมใจ | ||
ชรอยวาสนาหลังทั้งสองสร้าง | เคยเปนน้องพี่นางแล้วหรือไฉน | ||
จึงดลจิตต์อนุชาให้อาลัย | แต่จะใคร่ได้สนิทชิดชวนเชย | ||
ทุกเช้าค่ำพร่ำเทวษถวิลถึง | นึกคะนึงแต่เชษฐานิจจาเอ๋ย | ||
ช่างกะไรไม่เห็นอกวิตกเลย | ยามนอนกรเกยก่ายพักตรา | ||
ยามกินกินระกำกล้ำกลืนแค้น | กำสรดแสนเศร้าโทมนัสสา | ||
จนลืมเล่นกลอนละครแลสักรวา | ลืมเวลาเฝ้าแหนแสนสำราญ | ||
อันสัตรีคู่เชยเคยเริงรื่น | จะชวนชื่นก็ไม่ชอบฤดีสมาน | ||
เคยกลั้วกลิ่นบุบผาสุมามาลย์ | พอกลิ่นพานนาสาก็เสียวใจ | ||
ถวิลถึงพี่นางของน้องนัก | ยิ่งแรงรักแรงร้อนถอนใจใหญ่ | ||
ต้องทิ้งกลิ่นประทิ่นหอมออมอาลัย | ดั่งเนาในกองอัคคีจี้จุดกาย | ||
ถึงจะเอาอมฤตมารินรด | ซึ่งกำสรดโศกฤทัยนั้นไม่หาย | ||
แม้นวันใดได้เห็นพักตรพี่ทักทาย | นั่นแลคลายร้อนรักที่หนักทรวง | ||
เมื่อมีแต่เกรียมกรมอารมณ์หมอง | ชีวิตน้องนี้เห็นคงจะลับล่วง | ||
พี่อย่าแหนงเลยว่าแสร้งแต่งลิ้นลวง | นี่หากห่วงอยู่ด้วยพี่จึงมิตาย | ||
เปรียบประหนึ่งพลอยเพ็ชรสิบเจ็ดกะหรัด | นายช่างตัดเจียรนัยให้สลาย | ||
ถึงผูกเรือนรจนาลงยาระบาย | ราคาขายคงต่ำค่าเพราะราคี | ||
จะสอดใส่ใครเห็นก็คงติ | ด้วยเปนตำหนิในเนื้อเจือรัศมี | ||
อันความวิตกฮกน้องหมองฤดี | ก็แสนสลายคล้ายมณีที่เปรียบปราย | ||
ถ้าเชษฐาเอนดูช่วยอุปถัมภ์ | ก็จะไม่ชอกช้ำสล่ำสลาย | ||
ถึงมีเรือนก็เหมือนไร้เพราะเรือนคลาย | ไม่เพริศพรายเคียงคู่ชมพูนุท | ||
จงเห็นทุกข์เถิดที่กรมอารมณ์หมอง | จงเห็นว่าน้องรักพี่เปนที่สุด | ||
ขอร่วมชีพชีวันด้วยตราบม้วยมุด | ขอเปนนุชน้องพี่แต่นี้ไป | ||
เปนความสัตย์มิได้คัดวาทีแถลง | ถ้านึกแหนงแคลงความจงถามไถ่ | ||
ขอเชิญตอบสารสวัสดิ์อย่าขัดใจ | เหมือนพี่ได้เมตตาการุญรัก | ||
เหมือนพี่พร้องสนองเรื่องกลับเคืองแค้น | ก็จะแสนสุดวิตกเพียงอกหัก | ||
ด้วยหวังสวาทเชษฐาหนักหนานัก | จงแจ้งประจักษ์ใจจริงทุกสิ่งเอย ฯ ๔๒ คำ ฯ | ||
๏ แสนเทวษถวิลถึงคนึงสมร | |||
ให้ด่าวดิ้นวิญญาด้วยอาวรณ์ | จะนั่งนอนถอนฤทัยอยู่ไม่รู้วาย | ||
ครั้นคิดความเมื่อยามรื่นก็ชื่นจิตต์ | ครั้นคืนคิดข้างโพยภัยก็ใจหาย | ||
อุราร้อนรุมสวาทไม่คลาดคลาย | แต่ไกลสายสมรพี่ปิ่มปีเกิน | ||
มิได้พานพบน้องสนองถ้อย | ต้องม้วนม่วยพักตรหมางระคางเขิน | ||
เพราะเกรงความจึงต้องจำทำสเทิน | เห็นการเกินแล้วจึงก่อรังเกียจกัน | ||
เมื่อแรกรักก็ได้ว่าสัญญามิตร์ | คงจะคิดให้เสร็จสมภิรมย์ขวัญ | ||
ถึงฉาวเรื่องก็จะรับในราชทัณฑ์ | แต่อย่าหันเหิรห่างระคางเคือง | ||
พี่อุส่าห์เพียรพากสู้ยากจิตต์ | เห็นชอบผิดจึงอภิปรายขยายเรื่อง | ||
ก็รับรวยว่าจะช่วยทุกข์ประเทือง | ค่อยปลดเปลื้องร้อนฤทัยตั้งใจเตือน | ||
พอเปนเคราะห์เพราะเวรสร้างแต่ปางหลัง | ความชอบลับกลับชังจึงกลายเกลื่อน | ||
ทั้งต้องเมินหมางเมียงเบี่ยงเบือน | เห็นความเชือนก็กลับช้ำระกำใจ | ||
โอ้อกเอ๋ยอนิจจาน่าสงสาร | แต่ก่อนกาลเราได้ทำกรรมไฉน | ||
เคยพรากสัตว์ให้พลัดกันหรือฉันใด | จึงเปนไปได้ดั่งนี้เพื่อมีกรรม | ||
เมื่อจวนจะเสร็จสมปองประคองชื่น | หรือคงคืนมาได้ทุกข์ถึงความขำ | ||
สารพัดจะเปนพิษจนผิดระยำ | ทุกเช้าค่ำมีแต่ตรอมออมอาลัย | ||
ครั้งนี้นะชะช้าอิกสักนิด | ก็จะได้สมคิดที่พิสมัย | ||
แต่นี้ตั้งแต่โศกวิโยคใจ | เหมือนหมายไม้สุดมือจะถือชม | ||
จะเปรียบปรายคล้ายอิเหนาเยาวลักษณ์ | เมื่อแรมรักร้อนฤทัยจะใคร่สม | ||
แต่วันเห็นพระน้องนึกตรึกนิยม | จะนั่งนอนร้อนอารมณ์ไม่สมฤดี | ||
วันไหว้พระบนกุหนุงก็มุ่งหมาย | ได้แนบกายกนิษฐายาหยี | ||
เอาคำมั่นสัญญาพาที | มะดีหวีก็รับสัตย์ปฏิญาณ | ||
ว่าจะช่วยกว่าจะสมอารมณ์มุ่ง | ครั้นกลับกรุงก็แกล้งล่อแต่พอหวาน | ||
แต่ตักเตือนเลื่อนผัดจนนัดการ | แล้วกลับราญรอนสวาทขาดอาลัย | ||
พระยังหม่นหมองหมางไม่ห่างเหือด | ก็พ่างเลือดตากระเด็นจนเปนไข้ | ||
ประหนึ่งเรียมเกรียมกรมระทมใจ | จะพึ่งใครไม่หยั่งเห็นจะเปนการ | ||
ยิ่งสลดฤทัยอาลัยรัก | ด้วยแหล่งหลักก็เปนคาวร้าวฉาน | ||
สงสารน้องจะต้องทิ้งไว้นิ่งนาน | จะมีแต่ทานทนทุกข์ฉุกใจกรอม | ||
โอ้อกเราสองรานิจจาเอ๋ย | ได้ชื่นเชยสามสี่ราตรีถนอม | ||
ยังจำท่วงทีเคารพนบประนอม | อันกลิ่นหอมนั้นยังติดนาสารวย | ||
แม้นเบื้องหน้าถ้าได้พบพานบ้าง | เจ้าอย่าหมางหมองเมินเขินขวย | ||
อย่าลืมที่คำชอ้อนอ่อนรทวย | อย่าลืมสัตย์ซึ่งจะม้วยด้วยรักแรง | ||
อันฝ่ายพี่นี้มิลืมถ้อยคำพร้อง | เปนความจริงสิ่งนี้น้องอย่านึกแหนง | ||
แม้นแจ้งประจักษ์พจมานในสารแสดง | เจ้าอย่าแพร่งพรายความไม่งามพักตร์ | ||
สงวนกายสายสมรไว้ก่อนนะเจ้า | ถ้าบุญเราคงจะได้สมานสมัค | ||
ทุกวันนี้พี่คนึงถึงน้องนัก | อาลัยรักสมรมิตรเปนนิจเอย ฯ ๓๖ คำ ฯ | ||
๏ หวังวิโยคโศกสร้อยละห้อยโหย | |||
ได้เห็นกันเมื่อวันเสด็จโดย | เจ้าเซ็นโอยอกอ้อนอาดูรแด | ||
ได้นัดนวลว่าจะชวนไปเปนเพื่อน | ยังอ้ำเอื้อนอยู่ไม่วางอารมณ์แน่ | ||
ถึงวันไปไปเตือนก็เชือนแช | ช่างคิดแก้ว่าจับไข้มาหลายวัน | ||
ยิ่งถามเจ็บก็ยิ่งเจ็บนั้นสุดจิตต์ | เห็นโรคผิดใจจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ยิ่งวอนว่าก็ยิ่งว่าไม่รักกัน | จะไปนั้นไม่ได้แล้วอย่าวอนชวน | ||
พอขาดคำจำลาเจ้ามาบ้าน | เร่งทยานยวนใจให้โหยหวน | ||
พอพานพบเพื่อนชายภิปรายชวน | ให้ดูขบวรแห่มาแล้วพาจร | ||
ดาดาษด้วยราษฎรมี | รัศมีเพลิงสว่างกระจ่างสมร | ||
ประชาชายลอยชายกรายกร | เห็นเจ้าจรเจียนถือข้อมือชาย | ||
ถามข่าวได้แต่ตาประสารัก | นี่ไข้หนักจริงหรือพึ่งรื้อหาย | ||
จะใคร่เคียงเข้าไปถามเอาความชาย | เกรงจะกลายเปนวิวาทใช่ชาติพาล | ||
เออก็ควรหรือจะชวนให้ชื่นรัก | ไม่คิดศักดิ์เลยว่าศักดิ์นั้นสมสถาน | ||
รักจะทำก็อย่าทำทุราจาร | นี่สันดานหรือจึงดานฤดีเปน | ||
ใช่ว่าชายนั้นจะเชยแต่พอชื่น | ไม่ขาดคืนไยจึงคืนมาให้เห็น | ||
หรือจะลองดูที่คลองวารีเย็น | ถึงเปนก็ไม่เปนให้ลับตา | ||
ได้เห็นใจแล้วที่ใจอาลัยนัก | ไม่เห็นรักพารักมาใส่หน้า | ||
พอใจชมก็ได้ชมกิริยา | อันสัจจาสัตย์จริงทุกสิ่งแสดง | ||
ถึงเสียรู้ก็ได้ดูประหลาทเนตร | หวังเทวษก็ได้เวทนาแหนง | ||
ไม่แคลงใจทีนี้ใจจะจำแคลง | จะเอาเหล็กสักแทงไว้ดูรอย | ||
มาดแม้นหญิงใดประไพพิศ | อย่าควรคิดเร่งคิดขยั้นถอย | ||
จงเจียมใจอย่าเศร้าใจอาลัยลอย | อย่าน้อยใจใช่ชายจะหมิ่นชาย | ||
นี่ถือเยี่ยงอย่างดุเหว่าหรือเยาวลักษณ์ | จะไข่ให้กาฟักอย่าพักหมาย | ||
เสียแรงรักไม่ควรรักจักเคลื่อนคลาย | แสนเสียดายเพียรพากสู้ยากเย็น | ||
ชะกระไรเชื่อถ้อยชรอยจิตต์ | ไหนจะย้อนซ้อนคิดไม่คิดเห็น | ||
ถึงเสียชู้ก็ได้รู้เชิงชู้เร้น | ชื่อว่ามิตรมิดเม้นเช่นนี้เจียว | ||
ประหนึ่งหงส์หลงเล่นชลาสินธุ์ | มุจลินท์สระสนานไม่ดาลเฉลียว | ||
เที่ยวซอกซนจากาเข้ากลมเกลียว | ทั้งหนามเหนี่ยวเกี่ยวขนหล่นหลุดยับ | ||
ก็ยังแต่จะรบัดผลัดขนใหม่ | จะงามวิลัยคมขำดำขลับ | ||
ถ้าใครโยนเหยื่อตรงก็คงรับ | จึงจะนับแล้วว่าหงส์นี้วงศ์กา | ||
หรือใจหวังดั่งโฉมอนงค์นาฎ | กากีศรีวิลาศเสนหา | ||
เมื่อหน่ายในกรุงกษัตริย์ภัศดา | จึงตามพญาเวนไตยไปฉิมพลี | ||
ครั้นได้รู้รสภิรมย์สมสนิท | ก็เบื่อจิตต์จางรักในปักษี | ||
พอเห็นนายนาฎกุเวนก็ยินดี | แสร้งทำทียียวนชักชวนเชย | ||
ในเวลาทิวาวันคนธรรพ์สม | ปางปฐมยางครุฑร่วมเรียงเขนย | ||
ไม่จางใจในรสสังวาสเลย | นิจจาเอ๋ยช่างมาเหมือนนิทานพาล | ||
หรือจะเห็นดีแก่ใจอย่างไรอยู่ | ก็ย่อมรู้อยู่ทีเดียวว่าเปรี้ยวหวาน | ||
เมื่อมิเศร้าแล้วก็สรวลไม่ควรการ | แต่อย่าประจานพักตรน้องให้หมองนวล | ||
ไม่รักตัวเลยว่าบัวบงกชรัตน | ในจังหวัดสินธุวงศ์ไว้จงสงวน | ||
จะคลี่คลายขยายแย้มต่อยามควร | อรุณจวนจะส่องแสงจึงแบ่งบาน | ||
มิได้เลือกเลยอุบลทุรนแบะ | ให้ร่านบุ้งมุ่งแทะเปนอาหาร | ||
แมลงภู่นั้นว่ารู้รสสุมาลย์ | ก็ควรบานกลีบรับสำหรับเชย | ||
เออเมื่อกบหลบร้อนเข้าอาศรัย | จะแย้มให้กบกลั้วหรือบัวเอ๋ย | ||
มาเลียนเล่นเช่นนี้ยังมิเคย | จะดมเตยต่างดอกรสสุคนธ์ | ||
เห็นว่าจะเปนแล้วกลับหาย | คล้ายคล้ายเหมือนจะชังแล้วยังฉงน | ||
นี่เพราะรักร้อนร่านเหลือทานทน | จึงนิพนธ์สารแสดงมาแจ้งเอย ฯ ๔๖ คำ ฯ | ||
๏ สารสัตย์สุจริตไม่คิดแหนง | |||
เห็นแล้วที่ว่าจริงทุกสิ่งแสดง | ถึงมิแจ้งก็มาแจ้งว่ารักเรา | ||
นี่ผีบอกดอกกระมังชาววังเอ๋ย | เห็นเชิงเชยผิดกระบวรสำนวนเจ้า | ||
ดูแหลมความออกที่ถามคดีเดา | พี่มัวเมาเสน่ห์อยู่พึ่งรู้นาง | ||
ก็น่าสรวลควรหรือน้องเปนสองพักตร์ | ไม่ทันคิดเลยว่ารักจะเร็วหมาง | ||
เมื่อหลายหูแล้วเขารู้เรื่องระคาง | หาไม่ร้างรักน้องให้หมองนวล | ||
อย่าเสแสร้งแกล้งกล่าวให้ฉาวเรื่อง | ก็จะรื้อลือเลื่องเครื่องคนสรวล | ||
เห็นสมศักดิ์สมนามทั้งงามกระบวร | เห็นสมควรที่เปนชาติเชื้อชาววัง | ||
เห็นสมทั้งคารมรับช่างกลับกลอก | ดั่งระลอกกลิ้งกลบกระทบฝั่ง | ||
เห็นสมคำสารพัดที่สัจจัง | นี่สมหวังแล้วสิเจ้าจึงเมามัน | ||
เสียดายชื่นเมื่อยามเคยเชยสมร | เสียดายที่ทำชอ้อนให้รับขวัญ | ||
เสียดายยศประดิพัทธจนอัศจรรย์ | เสียดายชั้นเชิงกระบวรให้ยวนใจ | ||
ยังไม่ทันจืดจางในทางเสน่ห์ | สิกลับเร่ร่ายรักยักอย่างใหม่ | ||
ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นยิ่งเปนไป | เอออะไรยังมาก่อให้ต่อความ | ||
ไม่รู้หรือว่ารักพ้องเปนสองรัก | ไม่เห็นพักตรพี่หรือจึงรื้อถาม | ||
พี่ติดเชยอยู่จึงชวดไปชมงาม | ใช่จะขามเคืองใจหาไม่เลย | ||
ก็จริงแล้วที่ว่าพี่นี้มีมาก | เปนแต่หลากชมลองดอกน้องเอ๋ย | ||
ที่มั่นหมายแลกลายไปเปนเตย | พี่จะเชยไปกระนั้นสักพันนาง | ||
กว่าจะต้องอารมณ์เราช่างเย้ายั่ว | เช่นวันทองสองผัวเปนตัวอย่าง | ||
จะถนอมแนบกายไม่วายวาง | ถึงขุนช้างจะชิงเชยไม่เฉยแช | ||
ถ้าอุประมาก็เหมือนลำแม่น้ำใหญ่ | ร่วมรับชลาลัยได้หลายกระแส | ||
เปนที่จอดทอดสำเภาแลเรือแพ | ออกแซงแซ่ขวักไขว่ทั้งไปมา | ||
คิดอย่างไรขึ้นหรือเจ้าจึงเดาถาม | จะสมทบกลบความพองามหน้า | ||
น้อยหรือถ้อยคำมั่นที่สัญญา | จะต้องว่าเสียให้สิ้นสำนวนกลอน | ||
แต่แรกเริ่มเดิมได้ภิรมย์รัก | ถนอมนักมิให้ขัดมนัสสมร | ||
สุดแสนสวาทคำที่ร่ำชอ้อน | ให้พาจรปลอมประชาทุกราตรี | ||
เมื่อครั้งฟังช้าหงส์ก็สงสัย | เหมือนโกรธขึ้งจึงมิไปด้วยกับพี่ | ||
พอเลื่อมรู้ข่าวระคายว่าร้ายดี | เขาบอกมี่ก็ไม่แหนงรแวงความ | ||
เพราะเชื่อใจอยู่ว่าใจเจ้าจงรัก | เห็นเกินนักจึงมิได้ออกปากถาม | ||
สู้แค่นขืนฝืนฝ่าพยายาม | แต่ติดตามพากเพียรเจียนขวบปี | ||
แล้วยังซ้ำทำไถลมาให้เห็น | ว่าจะไปดูเจ้าเซ็นแล้วแสร้งหนี | ||
ต่อตามพบจึงได้ล่วงรู้ท่วงที | ทำหลบลี้เมียงเมินสเทิ้นอาย | ||
นี่หากกล้าฝ่าเข้าไปทักถาม | จึงได้ความว่าเปนเนื้อในเชื้อสาย | ||
ก็นึกอางขนางใจอยู่ไม่วาย | ด้วยเชิงชายนั้นสนิทผิดทำนอง | ||
ครั้นชวนเชิญเดิรเล่นอย่างเช่นหลัง | ก็นิ่งนั่งเสียมิเยื้อนเหมือนหมางหมอง | ||
จะให้สลาสิเคยเลือกก็เสือกซอง | แกล้งต้องลองก็สะบัดว่าขัดใจ | ||
แต่หลีกเลี่ยงเบี่ยงเบือนทำเชือนเฉย | เมื่อไม่เคยเลยเห็นผิดนี่คิดไฉน | ||
เปนสองครั้งแล้วยังไม่สิ้นอาลัย | จนวันไปผ้าป่าเคยพาจร | ||
ได้นัดแนะว่าจะแวะมารับเจ้า | อย่างไรเล่าเธอไฉนจึงไปก่อน | ||
ประหลาดใจหรือจะแค้นหรือแสนงอน | หรือจะซ้อนกลคิดปกปิดความ | ||
จึงรีบเรือตามมามหานาค | ตั้งแต่ปากคลองเลี้ยวก็เที่ยวถาม | ||
ได้กลิ่นร่ำอบอายก็พายตาม | จนพบงามฟังกลอนครึ่งท่อนฮา | ||
ให้แซกเรือเข้าไปชิดแล้วพิศทั่ว | กำลังมัวอยู่เจียวหนอหัวร่อร่า | ||
จึงกระแอมให้ประจักษ์เบือนพักตรมา | ได้ทัศนาหน้าพี่เปนที่อาย | ||
ให้ถอยเรือเสียไม่ฟังละช่างหยาบ | พี่ก็ทราบเชิงเชือนในเงื่อนสาย | ||
อุส่าห์ฝ่าฝืนพักตรสู้ทักทาย | ไม่ภิปรายตอบคำทำมึนตึง | ||
เมื่อรู้เช่นเห็นครบคำรบสาม | ซึ่งแหนงความมาแต่หลังพึ่งหยั่งถึง | ||
คิดจะใคร่ฉาวชื่อให้ลืออึง | ก็เหมือนหนึ่งสาวไส้ให้กากิน | ||
พี่สู้อดออมฤทัยอาลัยสวาท | เห็นว่าวาสนาสร้างค่อยห่างถวิล | ||
นึกมานะในสันดานด้วยพาลทมิฬ | อันแผ่นดินจะไร้หญ้านั้นอย่าคิด | ||
ซึ่งความขำล้ำลึกนั้นนึกไฉน | ก็แจ้งใจเสียแล้วเจ้าอย่าเฝ้าปิด | ||
อันควันไฟใครห่อนจะงำมิด | พอรู้ฤทธิรักซ้อนอย่าย้อนรอย | ||
นี่สิ้นปลื้มหรือจึงลืมอารมณ์ภ้อ | สิ้นอาลัยไฉนหนอจึงท้อถอย | ||
เออก็ยังแต่จะเชิดให้เลิศลอย | พี่ก็คอยชมวาสนาอนงค์ | ||
ทุกวันนี้มีแต่ยิ้มกระหยิ่มจิตต์ | ด้วยว่าคิดไว้ก็สมอารมณ์ประสงค์ | ||
ฝ่ายเจ้าเหล่าเหมวราพงศ์ | จะมาลงหนองน้อยเร่งถอยคืน | ||
คิดเสียใหม่ไปสถานที่ธารลึก | เล็บจะลึกสั้นซ้ำเพราะน้ำตื้น | ||
จงบินร่อนกว่าจะอ่อนลงยั่งยืน | อย่าได้คืนคิดหวังความหลังเอย ฯ ๕๘ คำ ฯ | ||
๏ สดับสารสิ้นแสลงก็แคลงคิด | |||
ทั้งพี่นางช่างปลอบให้ตอบกิจ | นี่จริงจิตต์หรือประดิษฐประลองลวง | ||
จะรักชู้ชูชีพชีวันไว้ | ก็จนใจด้วยคำคมคารมหลวง | ||
จะวานรักเหมือนจะหักให้โทรมทรวง | พะหนักพะหน่วงเกรงกรรมเวรารอน | ||
เปนมิรู้แห่งที่จะตอบกิจ | ด้วยเจ้าคิดวิปลาสดังศาสตร์ศร | ||
ไม่ยั้งจิตต์ด้วยประดิษฐมาวิงวอน | เหมือนจะรอนราญชีพให้วอดวาย | ||
อย่าใหลหลงตรงกิจให้ผิดที่ | จงปราณีรงับจิตต์ให้ห่างหาย | ||
ย่อมนับว่าเจ้าเลิศประเสริฐชาย | จะหมายไหนได้เหมือนจำนงจง | ||
ไยไฉนจึงมาคิดฉะนี้นี่ | ช่างพาทีเพี้ยนผิดเพราะจิตต์หลง | ||
อันรักอื่นรักชื่นชีวาคง | ที่เขาจงสิมิจงเจตนา | ||
อย่าพิกลจริตให้ผิดผัน | เคร่าครองชีวันไว้ดีกว่า | ||
ยังกำดัดสันทัดยุพาลพา | ทั้งสักรวาก็ดีปรีชาชาญ | ||
แล้วแหลมหลักในลักษณะกลเลศ | รู้จบไตรเพททหารหาญ | ||
คนรู้มากนักได้ยากทรมาน | สดับสารนึกน่าจะปราณี | ||
แต่งตอบจะประกอบให้หายหลง | อย่าพะวงให้สัมผัสทั้งสี่ | ||
กลิ่นเสียงรูปรสวาที | กระยาหารอันมีโอชารส | ||
อิกทั้งดุริยางคดนตรี | ทั้งนี้ให้พร่ำจำอด | ||
จะเสียตัวก็เพราะกลั้วรักรส | เปนเบื้องบทเร้าราคราคี | ||
อย่าใหลหลงพะวงว่าสิ่งสุข | คือกองทุกข์ใหญ่ไม่เอาตัวหนี | ||
เพราะเมตตาจึงช่วยว่าให้ดีดี | อย่าจูจี้ให้พลอยรำคาญเอย ฯ ๒๐ คำ ฯ | ||
๏ คิดถึงแพรเลี่ยนแล้วเสียดายเหลือ | |||
เปนฝีมือของหม่อมย้อมมะเกลือ | ได้ห่มสนิทแนบเนื้อมานมนาน | ||
เจ้าแล่งเพลาะเลาะให้เมื่อไปทัพ | อุส่าห์หอบหิ้วกลับมาถึงบ้าน | ||
ฝากไปอบพบมือคนจัณฑาล | นึกประจานคนจนไม่อนิจจา | ||
เมื่อคราวดีสิ่งดีก็มีมั่ง | เมื่อคราวชังกระไรชังจนชั้นผ้า | ||
ทำได้ดูเถิดไม่เวทนา | ถึงผุราก็ยังรักเพราะรอยกาย | ||
นี่ผิดชอบเปนกะไรไฉนหนอ | จึ่งตั้งข้อเคืองแค้นไม่รู้หาย | ||
ถ้าไปได้ก็จะไปให้ใกล้กาย | จะหยิกตีเสียให้ตายก็ตามบุญ | ||
สงสารหน้าที่ไปพาให้ผ้าขาด | เหมือนตีวัวกระทบคราดคราวหันหุน | ||
แม้นผ้าอยู่ก็เหมือนดูยังการุญ | จงตั้งทุนรักรักให้แรมคลาย | ||
ถึงสิ้นผ้าไปก็ดียังมีเล็บ | ฉันกอดเก็บซ่อนไว้ยังไม่หาย | ||
เมื่อทุกข์ระทมจะได้ชมไปต่างกาย | หรือจะซื้อเล่าจะขายให้เต็มแพง | ||
เพราะว่าเปนสำคัญมั่นกว่าผ้า | ตามประสาภักดีไม่มีแหนง | ||
นิจจาเอ๋ยทำเยียมิเสียแรง | เหมือนจะแกล้งให้อัประมานคน | ||
เสียดายนักอนิจจาผ้าเพื่อนยาก | ได้ห่มตรากแดดน้ำกรำฟ้าฝน | ||
แต่จะไปไหนนิดก็ติดตน | มิให้คนอื่นต้องถึงสองเลย | ||
เมื่อยามนอนก็เอาห่มชมถนอม | ยังหวนหอมกลิ่นอายไม่หายระเหย | ||
เหมือนจะนำความสนิทให้คิดเคย | ถึงคราวช้ำก็ได้เชยเพราะชูใจ | ||
ทีนี้สาบสูญแน่แล้วแพรดำ | จะระยำย่อยยับเปนไฉน | ||
จะถ่วงน้ำหรือเจ้าจะเผาไฟ | กรรมอะไรของข้ามาตามทัน | ||
ที่ให้ไปนั้นด้วยใจสุจริต | คิดจะให้ดูผ้าต่างหน้าฉัน | ||
ตามประสายากใจที่ไกลกัน | ไม่สำคัญว่าจะคิดเคืองระคาย | ||
เห็นเปลี่ยนผ้ามาให้ห่มสมคิด | หรือจะผิดที่ของหม่อมนั้นหอมหาย | ||
จึงตอบแทนทำได้จะให้อาย | อนิจจาน่าเสียดายแพรดำเอย ฯ ๒๔ คำฯ | ||
๏ เคราะห์เอ๋ยเคราะห์จำเพาะพ้องตรงของขำ | |||
คิดต่อคิดไม่ผิดเลยกรรมเอ๋ยกรรม | มาซ้ำซ้ำแซกรักสลักทรวง | ||
ยิ่งหนักแน่นแสนช้ำกระหน่ำหนัก | ดั่งพลิกผลักเมรุไกรไศลหลวง | ||
ต้องยากเย็นเช่นเหมือนหมายเดือนดวง | ไหนจะล่วงละฟ้าลงมาดิน | ||
เปรียบวิหคนกน้อยต้อยติวิด | หรือจะคิดข้ามมหาชลาสินธุ์ | ||
จะอ่อนจิตต์อิดโรยด้วยโบยบิน | ถ้าจะสิ้นสุดกำลังชีวังวาย | ||
แม้นนกน้อยต้อยติวิดฤทธิดั่งครุฑ | คงข้ามสมุทร์ไทถึงเหมือนหนึ่งหมาย | ||
ด้วยแรงราชปักษิณบินสบาย | พวกพระพายจะพัดวุ่นกะตุ้นเตือน | ||
โอ้อกนกเหมือนอกนี้ไม่มีผิด | ถึงจะคิดแข่งไปก็ไม่เหมือน | ||
ต้องเสงี่ยมเจียมจนเพียงพลเรือน | จะเอื้อมเอื้อนออกปากก็ยากเย็น | ||
สู้ห้ามรักหักใจไว้ในหน้า | ยิ่งห้ามตาตาชวนให้หวนเห็น | ||
ครั้นห้ามใจให้สวาทขาดกระเด็น | ใจก็เปนเห็นงามไปตามตา | ||
ใจเอ๋ยอดสกดใจลงไว้มั่ง | ใจไม่ฟังเฝ้ารักนั้นหนักหนา | ||
ใจยิ่งคิดพิศวาสไม่คลาดคลา | ทุกเวลาหลงครวญรัญจวนใจ | ||
อกเอ๋ยอกโอ้ยากลำบากอก | ดั่งกลิ้งครกระหกระเหิรขึ้นเนินไศล์ | ||
จะทุกข์ทับคับอกวิตกไป | อกจะไหวหวั่นว้าให้อาวรณ์ | ||
อันทุกข์เราเท่าพระลอพอเหมือนเหมือน | ทุกข์ถึงเพื่อนแพงทองสองสมร | ||
จนเคลิ้มองค์หลงคลั่งไม่นั่งนอน | ละนครเข้าสู่สวนของนวลนาง | ||
ได้ร่วมห้องสองอนงค์ทรงเกษม | ต่างปรีดิ์เปรมประดิพัทธไม่ขัดขวาง | ||
ครั้นถึงกรรมจำตายต้องวายวาง | ทั้งสองนางพินาศแนบอยู่แอบองค์ | ||
อิกนิยายตายด้วยรักสมัคสมาน | เรื่องบุราณนานครันสุวรรณหงส์ | ||
ได้ร่วมรักอัคเรศเกศสุริยงค์ | หอกยนต์ตรงตรึงอุราชีวาวาย | ||
ถึงกษัตริย์สององค์ปลงชีวิต | ได้เชยชิดพิสมัยเหมือนใจหมาย | ||
โอ้องค์ท้าวเจ้าลมานสงสารกาย | มาต้องตายวายวางด้วยนางลเวง | ||
รักวันลาอสาทัพเขาจับได้ | จนบรรลัยอยู่ในเกาะไม่เหมาะเหม็ง | ||
ฟังเรื่องราวเจ้าลมานนึกพานเกรง | ให้วังเวงหวั่นจิตต์หวิดหวิดใจ | ||
ตรองดูรักรวนเรคเนแหนง | ยังไม่แจ้งนี่จะแท้แน่หรือไฉน | ||
แม้นลมปี่บิดนิ้วพลิกพลิ้วไป | คงบรรลัยเล่ห์ลมานไม่ทานเลย | ||
ถ้าสมคิดชีวิตวายไม่อายเขา | เกรงแต่เปล่าเปล่าตายน่าอายเอ๋ย | ||
คำคนคงเลียมเลียบว่าเปรียบเปรย | จะยิ้มเย้ยยิ่งจะรับแต่อัประมาน | ||
ทั้งที่พึ่งพวกพ้องมองหาหาย | คิดถึงกายกำพร้าน่าสงสาร | ||
มีแต่คนคุมชังด้วยจังฑาล | ปองจะรานเรื่องสวาทให้ขาดลอย | ||
สู้โน้มน้อมเหนี่ยวรักฉุดชักกิ่ง | ยังรังแกแร่วิ่งมาชิงสอย | ||
ช่างชอ้อนอ่อนตอเข้าผลอพลอย | ขึ้นหน้าลอยคอยขัดสกัดสแกง | ||
เจ็บจิตต์ใจประมาทปิศาจซ้ำ | จะต้องทำกระบานบัตรปัดแสลง | ||
ปอบชมบหมู่พรายที่ร้ายแรง | อย่าให้แฝงเฝ้าประจำอยู่กล้ำกราย | ||
จงไปสู่ไม้ยูงสูงไม้ใหญ่ | ที่แน่นเหน็บเจ็บไข้จะได้หาย | ||
พี่เส้นวักสักเท่าไรก็ไม่คลาย | ช่างเคราะห์ร้ายหลายอย่างต่างต่างเปน | ||
ทั้งหย่อนยศถดถอยทั้งน้อยหน้า | ทั้งพาสนาสารพัดจะขัดเข็ญ | ||
จะริรักมักลำบากยอดยากเย็น | มิได้เว้นวันร่ำที่คร่ำครวญ | ||
เหมือนหมายชมบุบผชาติไกลาสลิบ | มณฑาทิพย์เทพบุตรสุดสงวน | ||
ขจรกลิ่นรินรื่นให้ชื่นชวน | วายุหวนหอมมอบตระหลบดิน | ||
สาโรชรื่นพื้นสุธาฟากฟ้าฟุ้ง | ภมรมุ่งหมายคะนึงพึงถวิล | ||
ลืมดอกไม้ในจังหวัดปัถพิน | เฝ้าเพียรบินโบกปีกหลีกลมบน | ||
แมงภู่น้อยถอยกำลังปีกยังอ่อน | สุดจะร่อนเร่ฟ้าเวหาหน | ||
ไม่กลัวยากพากเพียรเฝ้าเวียนวน | มิได้พ้นพุ่มไม้ขึ้นไปเลย | ||
ถึงจะอ่อนหย่อนกำลังไม่ยั้งหยุด | จนปีกหลุดหล่นตกแลอกเอ๋ย | ||
แม้นบุญหลังแมลงภู่เปนคู่เคย | คงได้เชยช่อบุบผามณฑาทอง | ||
เพี้ยงเอ๋ยเพี้ยงเสี่ยงกุศลช่วยดลให้ | เทพไทที่เฝ้าเปนเจ้าของ | ||
ประทานทิพยมาลยดั่งใจปอง | ให้ลิ่วล่องลอยฟ้าลงมามือ | ||
จะยื่นกรกรีดก้อยค่อยค่อยหยิบ | มณฑาทิพย์ที่ประทิ่นประคิ่นถือ | ||
ประคองหัตถ์ไว้ มิให้สัมผัสมือ | จะรักรื้อร่ำภิรมย์เฝ้าชมเชย | ||
เมื่อยามนอนนั้นจะยกขึ้นอกแอบ | ประทับแทบทรวงถนอมหอมระเหย | ||
เมื่อยามนั่งนั้นไม่ว่างให้ห่างเลย | สงวนเชยชิดชื่นทุกคืนวัน | ||
จะพูลเพิ่มพิศวาสไม่ขาดรัก | ให้สมศักดิ์สุมาลัยในสวรรค์ | ||
อย่าให้คอยลอยฟ้ามาพลันพลัน | จะรับขวัญขวัญฟ้าลงมาเอย ฯ ๕๖ คำฯ | ||
๏ โฉมทิพย์ประทุมโกสุมสวรรค์ | |||
พึ่งผุดพ้นชลชูเคียงคู่กัน | อยู่ในวันโนทยานสถานอินทร์ | ||
ขึ้นบังใบใกล้ฝั่งอยู่ทั้งคู่ | ยากที่หมู่แมงภู่ผึ้งจะพึงถวิล | ||
ไปไม่ถึงเทวโลกเฝ้าโบกบิน | ตามแต่กลิ่นอยู่แต่ไกลไม่ใกล้กราย | ||
ยังไม่บานแบ่งผกาสร้อยสาโรช | อยู่ในโบษขรณินกระสินธุ์สาย | ||
อุบลอื่นดื่นระดะในสระราย | มีมากมายหลายหลามไม่งามเกิน | ||
อันสองอุบลพ้นกระสินธุ์ส่งกลิ่นกลบ | หอมตระหลบลอยฟ้าเวหาเหิร | ||
ระรื่นรินกลิ่นฟุ้งจรุงเจริญ | ดั่งจะเชิญชวนหมู่แมงภู่ทอง | ||
ด้วยดอกไม้ไกลมนุษย์อยู่สุดสูง | เหลือที่ฝูงภุมรินจะบินผยอง | ||
ครั้นจะลอยลมหลีกด้วยปีกปอง | ให้ข้ามห้องคัคณานต์สถานทาง | ||
ปีกยังอ่อนหย่อนย่อท้อระทด | จะต้องลมคมกรดหมดปีกหาง | ||
เกรงว่าไปจะไม่รอดตลอดปาง | จะต้องคว้างกลางดินชวดบินโบย | ||
ใจหนึ่งรักหักจะไปใจหนึ่งรั้ง | เปนครั้งครั้งคราวครวญให้หวนโหย | ||
สงสารพวงภุมรินที่ดิ้นโดย | ประกอบโกยกองวิตกโอ้อกกรม | ||
ต้องกรอมเกรียมเจียมจิตต์ชนิดนี้ | ป่วยการปีมิได้พบประสบสม | ||
ปองสวาทมาดหมายแต่ลายลม | อกระทมเทวษเศร้าทุกเช้าเย็น | ||
แม้นเมื่อใดได้พุ่มประทุมทิพย์ | ที่ลอยลิบลับฟ้ามาให้เห็น | ||
จะรื่นรสเรณูมาลย์ซ่านกระเซน | พอวายเว้นวันรำลึกที่ตรึกตรอง | ||
โอ้นึกนึกตรึกไปก็ใจเปล่า | เมื่อไรเล่าดวงประทุมที่หุ้มหอม | ||
จะแย้มขยายคลายคลี่ปราณีประนอม | ประนมน้อมก้านผกาลงมามือ | ||
จะยื่นหยิบทิพยประทุมโกสุมสอง | ใส่พานทองถมยาหัดถาถือ | ||
ถนอมไว้มิให้ช้ำด้วยน้ำมือ | จะรักรื้อร่ำภิรมย์เฝ้าชมเชย | ||
เมื่อยามนอนนั้นจะยกขึ้นอกแอบ | ประทับแทบทรวงถนอมหอมระเหย | ||
เมื่อยามนั่งนั้นไม่วางให้ห่างเลย | จะชมเชยชูชื่นทุกคืนวัน | ||
แนบสนิทพิสมัยรักใคร่ครุ่น | ให้สมบุญบัวหลวงในสรวงสวรรค์ | ||
จงเห็นใจที่รัญจวนคร่ำครวญครัน | ขอเชิญขวัญเนตรน้องอย่าข้องเคือง | ||
จะรักใคร่ในนุชไม่สุดสิ้น | จนม้วยดินสิ้นหล้าฟากฟ้าเหลือง | ||
คุ้งวันตายวายชีวิตปลดปลิดเปลือง | มิได้เปลื้องปลิดสวาทนิราสแรม | ||
ที่กล่าวความตามธรรมเนียมเทียมประเทียบ | อย่าระคายภิปรายเปรียบว่าเฉียบแหลม | ||
ใช่จะแกล้งแต่งนิพนธ์เปนกลแกม | มาลอมแลมลองโฉมประโลมชม | ||
จงรู้รักประจักษ์จิตต์อย่าคิดขาม | ล้วนคำงามความจริงทุกสิ่งสม | ||
อย่าคลางแคลงแหงนน้ำคำคารม | จะมอบจิตต์สนิทสนมไว้นมนาน | ||
เปรียบดั่งลอหน่อไทตามไก่เถื่อน | ไปสมเพื่อนแพงงามสามสมาน | ||
เคยได้ฟังมั่งหรือไม่ในนิทาน | แม้นได้อ่านฟังเล่นก็เช่นกัน | ||
สองวิมลมณีศรีสวัสดิ์ | อย่าสลัดตัดรอนจงผ่อนผัน | ||
ให้เปนคู่อยู่เหมือนเดือนตวัน | เกิดสำหรับกัปป์กัลป์เช่นนั้นเอยฯ ๓๖ คำฯ | ||
๏ คิดถึงหม่อมจอมอนงค์สุดสงสาร | ||
นิจจาเอ๋ยเคยเปนโสดเปรื่องโปรดปราน | สถิตสถานสถาพรบวรวัง | |
เพียงจอมเมรุพิมานนิพพานพ้น | ก็เสื่อมสุขเศร้ากมลกว่าหนหลัง | |
ใครจะชุบอุปภัมภ์เปนกำลัง | ให้เหมือนครั้งคราวเดิมเปนเจิมจอม | |
จะมีสุขสักเท่าไรก็ไม่ชื่น | สมบัติอื่นไม่อิ่มใจคงไผ่ผอม | |
ถึงบริสุทธิผุดผ่องเหมือนหมองมอม | ต้องจำออมอดใจอยู่ในทรวง | |
ชั้นจะชื่นชอบกับใครให้สนิท | ต้องเสงี่ยมเจียมจิตต์ตขิตตขวง | |
จะทาแป้งแต่งสกนธ์คนทั้งปวง | ก็จะล่วงลักนินทาท่าเจ็บใจ | |
อันชาวในไหนจะสิ้นขมิ้นแป้ง | ก็ต้องแต่งตัวงามตามวิสัย | |
ครั้นไม่ทาจะว่าเนื้อล้วนเหื่อไค | ทำอย่างไรก็ไม่สิ้นซึ่งนินทา | |
แม้นถึงมียศถาอาชญาสิทธิ์ | ยากจะคิดปิดงำคำครหา | |
คำคนยาวกล่าวมากเกินปากกา | มักพูดจาเลียมลับให้อัประมาน | |
เหมือนนางหงส์เหมราชอันขาดคู่ | ทำรังอยู่ยอดไม้ในไพรสาณฑ์ | |
จะหาเหยื่อเผื่อบุตรสุดกันดาร | ไปไหนนานนักก็ห่วงด้วยรวงรัง | |
แต่ก่อนบุญขุนวิหคป้องปกอยู่ | ได้เปนคู่อยู่พุ่มไม้คุ้มขัง | |
แม้นสิ้นที่อุปถัมภ์อยู่ลำพัง | กาเหยี่ยวเฉี่ยวชังโฉบรังรอง | |
เปรียบเหมือนพรรณพฤกษาบรรดาไม้ | อันปลูกไว้ที่ควรในสวนหลวง | |
มีลูกดกระกะต้นทรงผลพวง | แม้นไม่หวงแหนนิ่งทิ้งละเลย | |
เปนที่ปองปักษาหมู่กานก | คงอันตรายวายดกแล้วอกเอ๋ย | |
ทั้งวลาหกหายไม่ปรายเปรย | ให้ชุ่มเชยชื่นชื้นพ่างพื้นดิน | |
ไม่มีหมู่ผู้คนจะปรนิบัติ | จนพื้นปัถพีแห้งเปนแท่งหิน | |
แม้นไม่ฟื้นพื้นสุธารดวาริน | ไหนจะสิ้นโศกเฉาซุดเศร้าโทรม | |
ดั่งดาวน้อยพลอยแจ้งด้วยแสงบุหลัน | ขึ้นส่องสวรรค์สว่างเลิศลอยเฉิดโฉม | |
เมื่อเดือนดับลับฟ้านภาโพยม | อัคคีโคมก็จะแข่งกับแสงดาว | |
ธรรมดานารีไร้ที่พึ่ง | ถึงผ่องถึงเทียมอย่างนกยางขาว | |
รักษาตัวเต็มดีเหมือนมีคาว | คนคงกล่าวข่าวพร้องว่าหมองมัว | |
ดั่งเพ็ชรเคลื่อนเรือนเก็จอยู่เม็ดเปล่า | จะเสื่อมเศร้าแสงมณีสีสลัว | |
หาเรือนรองทองถมให้สมตัว | จะยังชั่วชูช่วงดวงวิเชียร | |
แม้นเอองค์อางขนางอยู่อย่างนี้ | ไม่พ้นที่ตรีชาคำพาเหียร | |
ควรอนงค์จงดำริห์กันติเตียน | ถ้าคนเบียนเบียดถ้อยพลอยรำคาญ | |
ซึ่งคำเปรียบเลียบลึกล้วนปฤกษา | วานอย่าว่าหวังสวาทเอื้อมอาจหาญ | |
เห็นอยู่เดียวเปลี่ยวอารมณ์มานมนาน | คิดสงสารแสนรักจึงชักจูง | |
เดิมไม่เศร้าเสื่อมสลดมียศอยู่ | เคยเปนคู่เคียงหงส์ที่วงศสูง | |
ก็สิ้นหงส์แล้วจงวกลงนกยูง | อย่าให้ฝูงกากวนไม่ควรเคียง | |
จงเมินกาหาบุหรงเหมือนหงส์มั่ง | ให้เขาสั่งรเสริญลือออกชื่อเสียง | |
วานอย่าพิศวาสหวังที่วังเวียง | จงดูเยี่ยงอย่างสุวรรณกันยุมา | |
บุราณว่าเข้าเถื่อนหาเพื่อนเที่ยว | อย่าอยู่เดียวเปลี่ยวจิตต์จงคิดหา | |
ตามอารมณ์ให้สมดั่งเตือนมา | เสียดายปรารมภ์ด้วยช่วยทุกข์แทน | |
อันอยู่เดียวอย่างนี้หาดีไม่ | มีบ่าวไพร่พรั่งพร้อมเฝ้าห้อมแหน | |
มีสักหมื่นดื่นดาษดั่งขาดแคลน | ก็จะแม้นเหมือนกับอยู่ผู้เดียวดาย | |
ถ้ามีคู่อยู่ถึงแม้นจะแสนเศร้า | อาจบันเทาทุกข์ร้อนให้ผ่อนหาย | |
ได้คุ้มครองป้องกันอันตราย | ทั้งจะดับอับอายวายรำคาญ | |
ก็ยังไม่กะไรกันเช่นชั้นนี้ | ควรจะมีที่รักสมัคสมาน | |
อันนารีนี้เหมือนพุ่มประทุมมาลย์ | ถ้านิ่งนานเนิ่นนักคงจักโรย | |
ทำนอนใจไปข้างหน้าฉวยคว้าผิด | ต่อได้คิดจึงค่อยละห้อยโหย | |
ใบพฤกษาถ้าพระพายพัดชายโชย | ก็ควรโบยโบกใบไหวตามลม | |
คำบุราณว่าเลือกนักมักได้แร่ | หาหวานนักมักจะแปรแชขม | |
แม้นเฉยนักมักจะช้าอย่านิยม | ถ้าตรึกนักมักจะกรมไปนมนาน | |
จงฟังคำตามตำราสุภาษิต | อย่าให้ผิดแบบแผนล้วนแก่นสาร | |
หยั่งฤทัยใคร่ครวญให้ควรการ | เชิญสมานหมายประสงค์เปนมงคล | |
แม้นมีจิตต์ชิดชอบระบอบบท | จะปรากฏยศศักดิ์เพิ่มพักผล | |
ได้พาชื่นรื่นสำราญบานกมล | ที่กังวลถวิลเดิมจะเคลิ้มคลาย | |
จงตรองตามความทุกสิ่งจริงหรือไม่ | แม้นจริงใจแล้วจงรักสมัคหมาย | |
ให้สมคำทำเนียบที่เปรียบปราย | อย่าระคายเคืองความว่าลามลวน | |
อย่าพบพักตรรักใคร่ให้สนิท | ขอชอบชิดเชิงรักอย่าหักหวน | |
ถ้าโฉมงามตามอารมณ์เห็นสมควร | จงประมวลมิตรใจเปนไมตรี | |
จะพูลเพิ่มพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน | ทุกวันเดือนมิได้คลายหน่ายหนี | |
เฝ้ารักใคร่ไปจนตายวายชีวี | อยู่เมืองผีจะขออยู่เปนคู่กัน | |
แม้นเกิดไหนให้ได้พบประสบสิ้น | บาดาลดินแดนดลบนสวรรค์ | |
ทุกทุกชาติอย่าขาดรักเลยสักวัน | จนม้วยดับกัปป์กัลป์พุทธันดร | |
จงไมตรีตอบตามความพิศวาส | ให้สมมาดเหมือนหมายสายสมร | |
อย่าหมางเมินเนิ่นนิ่งให้วิงวอน | เชิญโอนอ่อนหย่อนหาตามอารมณ์ | |
แม้นสมัครรักใคร่ดั่งใจคิด | จะเคียงคู่ชูชิดสนิทสนม | |
ถนอมนอนกรรับประทับประทม | ให้แสนสมมนัสแนบแอบอกเอย ฯ ๖๔ คำ ฯ | |
(ขอขอบคุณ คุณ "หญิง. มะ" ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น