เพลงยาวชุดนี้มิใช่เพลงยาวสังวาส ปรากฏในท้องสำนวนว่าเป็นของเจ้านายที่ทรงผนวชทรงแต่ง 3 พระองค์ เพราะฉะนั้นจึงสมมุติเรียกว่า “เพลงยาวเจ้าพระ” ในเพลงยาวมีเนื้อความพอจะสันนิษฐานรู้เรื่องราวได้หลายอย่าง
บทที่ 1 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 1
ได้ยลยุบลลักษณ์ในอักษร | |||
ซึ่งพระหลานบรรหารพจน์เป็นบทกลอน | ก็อวยพรศรีสวัสดิ์ให้วัฒนา | ||
จงเชี่ยวชาญการกระวีวิธีปราชญ์ | เฉลียวฉลาดตรองตรึกที่ศึกษา | ||
ให้จะแจ้งทุกแห่งเห็นเจนจินดา | อย่าโรยราอุสาหะสละเพียร | ||
ซึ่งไม้ม้วนมีถ้วนยี่สิบสรรพ | กว่านั้นนับมลายล้วนไม่ควรเขียน | ||
อักษรสามตามตำหรับฉบับนักเรียน | ให้ชำเนียนชำนิชัดสันทัดแท้ | ||
ทั้งโทเอกเลขเจ็ดกับกากะบาท | ทัณฑฆาตไต่คู้รู้จงแน่ | ||
สำเนียงสูงต่ำนั้นอย่าผันแปร | ถ้าฉวยแชแล้วสิเชือนชักเปื้อนปน | ||
อันสามสอพ่อจงท่องให้คล่องไว้ | ชอบที่ใช้ตามบังคับไม่สับสน | ||
สังเกตผิดลิขิตเพี้ยนเขียนนิพนธ์ | นักปราชญ์ยลเย้ยสรวลจะชวนอาย | ||
แม้นจักทำโคลงสุภาพอย่าหยาบคิด | พึงพินิจจงชอบระบอบหมาย | ||
ข้างเอกไซร์ใช้ได้อักษรตาย | แต่ข้างฝ่ายโทนี้ไม่มีแทน | ||
จงหาโทแต่ที่สิ้นมลทินโทษ | จะอ้างโอษฐ์เขาคงชมคารมแม่น | ||
ถ้าโทเพี้ยนมักติเตียนว่าปราชญ์แกน | จะซ้ำแสนอัประมาณป่วยการทำ | ||
จงดำริตริตรองให้ต้องแบบ | ยังอย่างแยบจะบอกพ่อที่ข้อขำ | ||
ทุกสิ่งสรรพ์พรรณนาอุส่าห์จำ | อย่าพลาดพล้ำสติเผลอเลินเล่อ เอย | ||
๏ พึง พ่อหน่อนเรศผู้ | ภาคิไนย นาถเอย | ||
เรียน ลักษณ์อักษรไทย | ถ่องถ้อย | ||
เพียร เพิ่มเริ่มพจน์ไข | คำปราชญ์ เสนอนา | ||
รู้ รอบกอปรกลร้อย | เรื่องอ้างทางเกษม ฯ | ||
บทที่ 2 ของนายนาก ถวายเจ้าพระพระองค์ที่ 3
ขอนอบนบเคารพบาทพระจอมเศียร | |||
ซึ่งผนวชในพรหมพรตกำหนดเพียร | จงทรงเรียนทางปราชญ์ชาติกระวี | ||
กระหม่อมเล่าเผ่าพงศ์หินชาติ | จะหมายหมาดคู่พรหมไม่สมศรี | ||
ด้วยเป็นไพร่จะให้ตอบพระวาที | บารมีเป็นที่ยิ่งยังกริ่งครัน | ||
แม้นพระทัยใคร่ทรงดำรงเรื่อง | ที่ข้องเคืองโปรดให้อภัยฉัน | ||
ด้วยกลอนตอบชอบผิดต้องติดพัน | ซึ่งโทษทัณฑ์อนุญาตให้ขาดเอยฯ | ||
บทที่ 3 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3 ตอบนายนาก
สดับรสพจนาเลขาสนอง | |||
แสนดีใจด้วยได้สมอารมณ์ปอง | แต่นอนตรองตรึกหามาช้านาน | ||
พอได้ฟังฝีปากนายนากกล่าว | เป็นเรื่องราวรจนามาในสาร | ||
จึงค่อยเรืองปัญญาปรีชาชาญ | เดี๋ยวนี้พานจะยังอ่อนกลอนไม่ดี | ||
ถ้าเห็นผิดอยู่ตรงไหนอย่าได้นิ่ง | บอกตามจริงเถิดไม่รักถือศักดิ์ศรี | ||
อย่าเกรงกลัวโทษอันใดมิให้มี | จงบอกที่ผิดพลั้งมามั่ง เอย ฯ | ||
บทที่ 4 ของนายนาก
ยลลิขิตอิศรสารประทานแถลง | |||
แสนเสนาะเพราะล้ำในคำแสดง | ประจักษ์แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอัน | ||
ซึ่งประทานโปรดอภัยไว้ธุระ | พระคุณจะใส่เกล้ากระหม่อมฉัน | ||
ทั้งผิดเพี้ยนให้ช่วยเปลี่ยนสารพัน | ฝ่ายโทษทัณฑ์มิให้มีดีจริงจริง | ||
กระหม่อมก็จะสนองละอองบาท | ที่พลั้งพลาดคงไม่คิดจะปิดนิ่ง | ||
เป็นสัจจังดังสาราอย่าประวิง | ด้วยจะพิงพึ่งพระเดชเกศบุรี | ||
ซึ่งโปรดว่าฟังปากนายนากกล่าว | เป็นเรื่องราวคำกลอนอักษรศรี | ||
จึงค่อยเปรื่องปรีชาชาญชำนาญดี | ที่ข้อนี้ฉันยังแคลงไม่แจ้งใจ | ||
ด้วยมิได้รับประชันกันบ้างเลย | พระแกล้งเย้ยเยาะเล่นฤๅเป็นไฉน | ||
ยอมิหนำซ้ำถ่อมองค์ลงกระไร | น่าสงสัยอกฉันหวั่นหวั่น เอย ฯ | ||
บทที่ 5 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
พินิจสารนากทำคำอักษร | |||
แสนเสนาะเพราะสนิทชิดทุกกลอน | ท่านสุนทรแพ้ชัดไม่ทัดคำ | ||
ซึ่งฝากกายหมายชิดไม่ปิดนิ่ง | ขอบคุณยิ่งถ้ามิตายหมายอุปถัมภ์ | ||
มีธุระสิ่งไรอย่าได้อำ | จะคงทำสนองไปมิได้เมิน | ||
ซึ่งว่าข้อจะยอหยันนั้นหาไม่ | ที่จริงในจิตตั้งสั่งรเสริญ | ||
มิใช่ว่าจะเจรจาให้ล่วงเกิน | จะขอเชิญตอบสาราอย่าระแวง | ||
เป็นเรื่องรสพจนามาอีกเถิด | จะได้เกิดปัญญาค่อยกล้าแข็ง | ||
ในใจเราเหมือนสารามาแสดง | อย่าได้แคลงทุกสิ่งครบจนจบ เอย ฯ | ||
บทที่ 6 ของนายนาก
สดับสารหวานแสนเสนาะหู | |||
ช่างเพราะกลอนอักษรทำดังคำครู | ฉันขืนสู้คงจะแพ้แน่ในใจ | ||
เป็นนักเลงคงอดเพลงอยู่ไม่รอด | จำต้องทอดทางไมตรีตามวิสัย | ||
ด้วยสารทรงจักรีมีเยื่อใย | เมตตาในกระหม่อมฉันไม่หันเมิน | ||
ก็สมจิตที่คิดสามิภักดิ์ | พระคุณหนักยิ่งฟ้าเวหาเหิน | ||
ล้ำสมุทรสุดดินสิ้นทั้งเนิน | เกือบสูงเกินพรหมแมนแดนอมร | ||
ขอพระเดชปกเกศเป็นที่พึ่ง | อันคำซึ่งจะอุปถัมภ์นี้ใครสอน | ||
จึงพระองค์ทรงคิดลิขิตกลอน | ว่าสุนทรแพ้ฉันขันพอพอ | ||
หนึ่งธุระประสงค์คงจะได้ | พระโปรดให้เห็นจริงจริงเจียวหนอ | ||
คงผาสุกทุกวันคืนกลืนลูกยอ | ฉันร้อนคอขอษมาเสียเถิด เอย ฯ | ||
บทที่ 7 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
สดับถ้อยสุนทรอักษรแถลง | |||
จะยอเล่นฤๅอย่างไรยังให้แคลง | ที่กล่าวแกล้งว่าทำเหมือนคำครู | ||
ไม่เวทนาบ้างเลยมาเย้ยเล่น | เหมือนหนึ่งเป็นใบ้บ้าน่าอดสู | ||
มิใช่เราจะว่าเล่นจงเอ็นดู | มันไม่สู้ดีดอกบอกจริงจริง | ||
ซึ่งยกคุณของฉันนั้นชอบจิต | แต่ว่าคิดยังไม่เห็นเป็นที่ยิ่ง | ||
ปดกันไปแต่พอให้ใจประวิง | ยังคิดกริ่งตรองไม่เห็นจงเจรจา | ||
อันถ้อยคำนี้ใครมิได้สอน | แต่บทกลอนอย่างนี้ดีนักหนา | ||
จะเอาใครในกรุงศรีอยุธยา | เห็นจะหายากราวกับดาวเดือน | ||
ที่จะยอเย้ยหยันนั้นหาไม่ | จะหาใครใจที่จะดีเหมือน | ||
เช่นนี้ได้มาไว้เป็นแม่เรือน | ให้ตักเตือนสารพัดจัดการงาน | ||
เป็นความจริงทุกสิ่งอย่ากริ่งจิต | ดังลิขิตรจนามาในสรร | ||
พอได้เล่นเป็นสนุกสุขสำราญ | แก้รำคาญเคืองข้องที่หมองใจ | ||
ซึ่งกล่าวว่ากินลูกยอร้อนคอนัก | จะตวงตักน้ำผึ้งดีที่หวานใส | ||
เอายอที่เม็ดไม่มีสักสี่ใบ | ประเคนให้นากฉันทุกวัน เอย ฯ | ||
บทที่ 8 ของนายนาก
พินิจสารบรรหารเหตุพระเกศสยาม | |||
ช่างพริ้งเพราะเหมาะใจได้เนื้อความ | ถูกต้องตามปุจฉาน่ายินดี | ||
ซึ่งตริตรึกนึกแหนงระแวงหวาด | ขอเบื้องบาทปกเกล้าอย่าเศร้าศรี | ||
ไม่ว่าเล่นเป็นสัจจังดังวาที | กลอนเช่นนี้ผิดสังเกตเหตุพึ่งเรียน | ||
ดูไวว่องไม่ข้องขัดหัดนิพนธ์ | ไม่เวียนวนบาทบทที่จดเขียน | ||
จึงได้ชมด้วยสมแบบทั้งแนบเนียน | อุส่าห์เพียรเถิดพระองค์คงจะรู้ | ||
ซึ่งอยากได้ไว้ฉลองละอองบาท | เดิมฉันมาดสิไม่พบประสบสู่ | ||
ครั้นได้ร่มโพธิ์เย็นท่านเอ็นดู | ถวายตัวอยู่นานลับนับหลายปี | ||
สุดจะคิดบิดเบือนให้เหมือนประสงค์ | ขอจอมพงศ์โมเลศเกศกรุงศรี | ||
โปรดอย่าเคืองข้องขัดตัดไมตรี | จงปรานีนึกว่าเป็นข้าละออง | ||
แม้นมีพระประสงค์ที่ตรงไหน | กระหม่อมไซร้จะรับแทนพระคุณสนอง | ||
กว่าจะม้วยชีวิตคิดประคอง | พระจงตรองดูให้งามตามบุราณ | ||
ซึ่งสงสัยในคดีที่ว่ายิ่ง | เป็นความจริงตามโลกโวหาร | ||
ว่าหญิงชายใดได้รับราชการ | ต่อโปรดปรานจริง ๆ ดอกจึงหยอกเอิน | ||
นี่บุญตัวฉันแท้แน่นักหนา | พระได้มาตอบสารจึงสรรเสริญ | ||
ทั้งมหาดเล็กเด็กชาไม่กล้าเกิน | กุศลเชิญชักมาน่ายินดี | ||
เหตุดังนั้นฉันจึงกล่าวว่าคุณยิ่ง | สัจจังจริงจอมเมืองอย่าหมองศรี | ||
จงแต่งตอบตามระบอบประเพณี | ได้เปรมปรีดิ์ผาสุกสนุกสนาน | ||
ซึ่งพระองค์ทรงประทานน้ำผึ้ง | กับสิ่งซึ่งยอหมดเม็ดฉันเข็ดหวาน | ||
ด้วยร้ายแรงแสลงยิ่งกว่าอ้ายตาล | รับประทานไม่สบายถวายคืน | ||
ด้วยของเสวยเคยฉันอยู่เป็นนิจ | อย่าปลดปลิดให้เขาเฝ้าข่มขืน | ||
เชิญเสวยให้จุจุอายุยืน | ฉันนี้ขืนเข็ดขยาดไม่อาจ เอย ฯ | ||
บทที่ 9 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
ได้ฟังสารเพราะเหลือไม่เบื่อหู | |||
ทั้งลายมือที่เขียนมาก็น่าดู | อาลักษณ์ผู้ที่ว่าดีไม่มีทัน | ||
ซึ่งกล่าวจริงทุกสิ่งยังกริ่งจิต | ในใจคิดอยู่ว่าแกล้งจะเย้ยหยัน | ||
ฉวยลืมตัวสิเข้าไปหลายใบครัน | เที่ยววิ่งหันแล้วสิอายเขาตายจริง | ||
เป็นสัจจังดังนั้นฤๅอย่าถือหนา | สาบานมาให้สักใบอย่าได้นิ่ง | ||
จะเอาเป็นหลักไหล่ได้อ้างอิง | แล้วอย่ากริ่งเลยว่าล้อเล่นต่อไป | ||
ขอโทษเถิดเกินไปไว้นิดหน่อย | หม่อมจงถอยเสียเถิดหนาอย่าสงสัย | ||
ซึ่งเปรียบว่าฉันนี้โตเหมือนโพธิ์ไทร | ก็ขอบใจเป็นที่ยิ่งไม่กริ่งเลย | ||
อันวาสนาเรานี้พานมีน้อย | ต้องเศร้าสร้อยเหมือนเดือนตกนะอกเอ๋ย | ||
แสนระกำช้ำใจไม่เสบย | เอากรเกยนลาฏคิดประดิษฐ์กลอน | ||
ค่อยสบายคลายในฤทัยหมอง | แต่ตรึกตรองศุภลักษณ์ในอักษร | ||
พอหายง่วงงุนเหงาที่หาวนอน | ธุระร้อนจึงช้ามาหลายวัน | ||
ที่ยอเม็ดหมดนี้มีจริงหนา | อยู่บ้านป่าบางยี่เรือจงเชื่อฉัน | ||
จะเอามาให้เห็นเป็นสำคัญ | ไม่ปดกันเล่นดอกบอกตามจริง | ||
เรากินเบื่อเหลือเน่าเสียเปล่าเหม็น | มันแสนเข็ญเช่นกะยามหาหิงคุ์ | ||
นายนากกินเถิดแกแก้ลมวิง | ให้หนุ่มพริ้งขึ้นมาเที่ยวหาเมีย | ||
ได้รับมือกับนางนากฝีปากกล้า | ภรรยาจะขบเขี้ยวเคี้ยวกินเสีย | ||
จนหมดเนื้อแล้วยังเหลือแต่เลือดเลีย | กินเถิดเมียคงขยาดไม่อาจเกิน | ||
แม้นอ่านสารเสร็จสิ้นระบิลเรื่อง | อย่าได้เคืองที่ข้อฉันสรรเสริญ | ||
ถ้าธุระสิ่งไรอย่าได้เมิน | ที่ตรงเกินนั้นอย่าเคืองเรื่องยอ เอย ฯ | ||
บทที่ 10 ของนายนาก
คลี่สารอ่านกลอนอักษรแถลง | |||
ฟังเสนาะเพราะล้ำในคำแสดง | ประจักษ์แจ้งความจริงทุกสิ่งอัน | ||
ซึ่งประสงค์ตรงสัตย์จะจัดถวาย | แต่เกรงฝ่ายจอมเมืองจะเคืองฉัน | ||
ด้วยความสัตย์สิ่งอื่นสักหมื่นพัน | เห็นไม่ทันเหมือนจิตอย่าปิดบัง | ||
เออพระองค์จะสงสัยไปไยเล่า | เชิญหน่วงเอาพระอารมณ์ให้สมหวัง | ||
แม้นทูลมาสารพัดไม่สัจจัง | ขอให้ชังเฉยฉันจนวันตาย | ||
แม้นว่าจริงเหมือนสิ่งซึ่งมาพึ่งพัก | ขอให้รักฉันให้มากอย่าหากหาย | ||
ให้คิดสงสารซากที่ฝากกาย | อย่าเว้นวายห่วงฉันที่รัญจวน | ||
จนสิ้นดินสินธูชมพูทวีป | อย่ารู้รีบร้างโรยให้โหยหวน | ||
แม้นสมคิดค่ำเช้าทุกคราวครวญ | จะสงวนสัตย์ไว้ใต้ธุลี | ||
หนึ่งพระประภาษว่าวาสนา | ดังจันทราใกล้ดับลับแสงศรี | ||
เพราะพระองค์ยังเยาว์เบาโพธี | เมื่อบารมีแก่กล้าคงหล้าฦๅ | ||
เปรียบดังพืชข้าวปลูกที่หว่านไว้ | ยังไม่ได้สี่เดือนจะออกหรือ | ||
ถึงรดน้ำพูนดินจนสิ้นมือ | ก็คงชื่อสี่เดือนเหมือนประมาณ | ||
อย่าเสียพระทัยไตรตรึกนึกถวิล | คงจะภิญโญใหญ่ในสถาน | ||
จงอุส่าห์ศึกษาวิชาการ | ให้ชำนาญในกระบวนควรตระกูล | ||
หนึ่งยอไม่มีเม็ดเสด็จโปรด | ออกพระโอษฐ์ตรัสชมแก้ลมสูญ | ||
ทั้งกายแก่แปรเป็นหนุ่มจำรูญ | บริบูรณ์ด้วยเนื้อหนังกำลังแรง | ||
เป็นของดีวิเศษอยู่ในหล้า | พระเมตตาบอกเล่าเฝ้าแถลง | ||
ที่จริงจิตยังคิดข้างเคลือบแคลง | จะต่อแย้งเรื่องเก่าเฝ้ารำพัน | ||
ดูเหมือนคนสิ้นปัญญาจะหาเรื่อง | ไม่ยักเยื้องย้ายว่าให้ขันขัน | ||
ขอประทานผ้าขี้ผึ้งสักหนึ่งอัน | ให้ห่อล่วมสลาฉันนั้นเถิดเอย ฯ | ||
บทที่ 11 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 1
แสนสงสารหลานรักเป็นนักหนา | |||
เห็นจริตนั้นก็ผิดกับกิริยา | ทั้งพักตราเศร้าศรีฉวีวรรณ | ||
น่าจะมีทุกข์นักแต่สักสิ่ง | จงแจ้งจริงอย่ารังเกียจเดียดฉัน | ||
ควรจะสังสนทนาปรึกษากัน | ไม่ควรพรั่นดอกพอไว้ฤทัยวาง | ||
เมื่อก่อนงานเห็นสำราญสำเริงเล่น | ทุกเช้าเย็นราตรีไม่มีว่าง | ||
ครั้นถึงวันมหรสพได้พบสุรางค์ | สาวสำอางอ่าองค์บรรจงกาย | ||
ล้วนแรกรุ่นดรุณราวคราวชันษา | ฟื้นโสภาพักตร์เพี้ยนวิเชียรฉาย | ||
ดูอาการเห็นพานไม่สู้สบาย | ชะรอยหมายมุ่งมาดสวาสดิ์ครวญ | ||
ถึงขึ้นมาเล่าก็ทำเหมือนจำชื่น | ไม่เริงรื่นหฤทัยว่าใจสรวล | ||
ซังตายเล่นเห็นเล่ห์ดูเรรวน | ประหนึ่งป่วนเป็นจะสึกรำลึกวัง | ||
ซึ่งสัญญาอิกวษาจักทรงพรต | แล้วออมอดสืบไปไม่ได้มั่ง | ||
เอ็นดูสองอนุชาเชษฐายัง | อยู่ภายหลังจะโหยไห้อาลัยคะนึง | ||
ด้วยเคยเล่นเจรจาเป็นผาสุก | ต่าจะทุกข์โศกสร้อยละห้อยถึง | ||
จงตรองตัดสลัดร้อนอาวรณ์รึง | อย่าด่วนดึงเด็ดเดี่ยวไปเดียวองค์ | ||
อนึ่งวิชาเล่าเรียนที่เพียรพาก | ก็ยังมากไม่เจนจบสบประสงค์ | ||
อุส่าห์ก่อนผ่อนรำพึงถึงอนงค์ | ไหนก็คงจะเสร็จสมอารมณ์ เอย ฯ | ||
๏ อย่า รุมสวาสดิ์เร้า | โรยศรี สลายแฮ | ||
ร้อน ราครมย์ฤดี | ดับบ้าง | ||
ผ่อน ทุกข์ผ่อนเทวศทวี | วายว่าง ถวิลนา | ||
คลาย คิดกระนิษฐ์ฤๅร้าง | รอดพ้นกลไฉน ฯ | ||
บทที่ 12 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
สงสารองค์โกเมศผู้เชษฐา | |||
ด้วยร้อนรุ่มกลุ้มใจในอุรา | เพราะโรคาขุ่นข้องให้หมองใน | ||
ทั้งเจ็บปวดยวดยิ่งสิ่งสาหัส | ให้เบาขัดบุพโพคั่งลงหลั่งไหล | ||
จนผ้าเปื้อนประเปรอะเลอะเทอะไป | เพราะตามใจเร่งร้อนไม่ผ่อนเพลา | ||
ดังเรือดั้งคู่ชักหนักทุกเล่ม | ฝีพายเต็มกระทุ้งถี่ทุกฝีเส้า | ||
ไม่รอรั้งกำลังไล่มิได้เบา | สะดุดสะเด่าตอหลักจนหักค้าน | ||
แต่รักษาห้าหกเจ็ดแปดหมอ | เป็นหลายหม้อยาย้ายก็หลายขนาน | ||
ถึงสี่เดือนเงือดงดอดมานาน | พยาบาลเป็นนิรันดร์ทุกวันมา | ||
เดี๋ยวนี้คลายก็ยังหายไม่สู้สนิท | เวียนแต่ผิดสำแดงครุ่นวุ่นรักษา | ||
กลับเปื่อยพังบังเหตุให้เวทนา | เพราะโรยยาก็ยิ่งเป็นไม่เว้นวาย | ||
ถ้าแม้นไม่ไปวังยังอยู่วัด | จักบำบัดโรคร้อนค่อยผ่อนหาย | ||
งดไปวังเสียเถิดยังไม่เคลื่อนคลาย | อันภิปรายห้ามปรามด้วยความรัก | ||
ซึ่งพาทีชี้แจงสำแดงโทษ | อย่ากริ้วโกรธชอกช้ำว่าคำหนัก | ||
อันของดีนี้ควรสงวนนัก | อย่าให้หักบุบค้านเสียการ เอย ฯ | ||
บทที่ 13 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 2
สงสารองค์อนุชานักหนาหนอ | |||
ดูจริตนั้นเห็นผิดติดข้างบอ | ทำอ้อต้อเกี้ยวเด็กเล็กเล็กชม | ||
ทัดบุหรี่สองหูดูฉุยฉาย | ตบแต่งกายแต่ล้วนสีอันดีห่ม | ||
ฝีปากกล้ามิใช่เบาเจ้าคารม | ทำสวยสมใส่แหวนก้อยน้อยน้อยเดิม | ||
พระทัยหวังเจ้ามั่งก็ไม่ได้ | ความอึงไปแล้วก็หมางออกห่างเหิน | ||
กระดากกระดักกระเดื่องเฉยทำเลยเกิน | ครั้นเห็นเขาเล่าก็เมินไม่แลดู | ||
เดี๋ยวนี้จิตคิดจะไปวัดหน้าพระธาตุ | ที่ตำหนักสังฆราชเสด็จอยู่ | ||
ชะช่างหมายจะเล่นหลานเจ้าลำภู | น่าอดสูคนบ้าขายหน้า เอย ฯ | ||
บทที่ 14 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 1
น่าสมเพชเวทนานัดดาจ้าน | |||
มาลอบเล่นกระดางลางเอาอย่างพาล | ทำอาการวิปริตผิดแต่ไร | ||
ไม่เอาเยี่ยงขัติยาบ้าอุบาทว์ | เกี้ยวสวาสดิ์เรียนรู้แต่ครูไหน | ||
ฉวยฉายชื่อระบืออึงถึงกรมไกร | เป็นความใหญ่เห็นไม่มิดต้องพิดทูล | ||
แม้นทรงทราบเรื่องนี้คงมีโทษ | ไหนจะโปรดรำงับให้ดับสูญ | ||
จะกริ้วว่าทุจริตผิดประยูร | เสียสกูลอัปรยศปรากฏขจร | ||
ไปเที่ยวรักเขาทุกแห่งพึ่งแจ้งเหตุ | ทั้งเณรเนตรเณรมั่งใครสั่งสอน | ||
ยั้งดื้อดึงขึงขัดไม่ตัดรอน | จะผูกกรตียับให้อับอาย | ||
เขาร้องฟ้องมากมายเป็นหลายเรื่อง | จนขุ่นเคืองถึงข้างในไม่รู้หาย | ||
ไม่รักยศสงวนศักดิ์รักษากาย | ทำแต่ขายพักตราน่ารำคาญ | ||
ในวัดนี้แล้วมิหนำซ้ำวัดโน้น | ให้เขาโพนทะนาเที่ยวว่าขาน | ||
ล้วนข้อขำระยำยับอัประมาณ | เหมือนประจานปวดเจ็บเหน็บสกนธ์ | ||
เมื่อความวัวยังไม่หายความควายเพิ่ม | ความต่อเติมความขุ่นวุ่นหลายหน | ||
จะภาคทัณฑ์ไว้สักครั้งระวังตน | เอาทานบนมิให้เล่นเช่นนั้น เอย ฯ | ||
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น