หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย ,
จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น
ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู
ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ
ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ
หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว
ธรรมิกของหลวงปู่ตื้อ คือหลวงปู่บุญทัน
ซึ่งหลวงปู่ตื้อเคยเดินธุดงค์อยู่บริเวณเชียงใหม่ด้วยกัน
ท่านทั้งสองจึงสนิทสนมกันดี
สมัยหนึ่ง หลวงปู่บุญทันเร่งความเพียรภาวนาอย่างหนัก
ความรู้ที่ได้จากสมภวิปัสสนา ทำให้ท่านมั่นใจว่า
ท่านได้สำเร็จอรหันต์แล้ว หมดซึ่งกิเลสแล้ว
(ซึ่งจริงๆ แล้วท่านเข้าใจผิด เนื่องมาจากอาการวิปลาสจากการภาวนา
หรือวิปลาสเนื่องมาจากวิปัสสนูปกิเลส)
เมื่อท่านคิดว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว
ท่านจึงอยากจะออกไปติดตามหาหลวงปู่มั่น พบว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่
เมื่อเจอหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่บุญทันก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น
แล้วจึงกราบเรียนอย่างถ่อมตัวว่า
"สำคัญว่า ...กระผมเดินทางมาทางอากาศ"
หลวงปู่ตื้อซึ่งนั่งอยู่ด้วย
ก็ออกไปยืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทำท่าราวกับมองหาหลวงปู่บุญทันบนท้องฟ้า
แล้วพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า
"โน่น ! พระอรหันต์ผีบ้า พระอรหันต์โลกีย์
พระอรหันต์เวียนว่ายตายเกิด มาแล้วโว้ย
โน่นเหาะมาแล้ว!"
อรรถาธิบาย
หลวงปู่ตื้อพูดแรงๆ เพื่อยุให้หลวงปู่บุญทันโกรธ
เมื่อหลวงปู่บุญทันโกรธแล้ว ก็จะคลายอาการวิปลาสได้
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่พระอาจารย์ ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นทั้งหลายใช้กันเป็นปกติ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ก็เคยใช้วิธีแบบนี้กับลูกศิษย์ที่ปฏิบัติความเพียรอย่างหนักจนเกิดอาการวิปลาสขึ้น
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น
ท่านเป็นสหธรรมิก (สหายหรือเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน) กับหลวงปู่แหวน
หลวงปู่ตื้อมีนิสัยชอบพูดจาเสียงดัง โผงผาง ถึงลูกถึงคน จิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหมือนนักเลง
ซึ่งในหมู่คณะลูกศิษย์หลวงปู่มั่น จัดได้ว่า มีลูกศิษย์ ๓ ท่านที่ใจคอคล้ายกันมาก คือ
หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
หลวงปู่ทองรัตน์และหลวงปู่ตื้อ สนิทสนมกันดีเพราะนิสัยคล้ายกัน
(ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ต้องบอกว่า “ท่านแรง” มาก ลองอ่านกันดูล่ะกัน)
ส่วนหลวงปู่เจี๊ยะ เป็นศิษย์รุ่นหลังหลวงปู่ทั้งสองท่านหลายปี
ซึ่งหลวงปู่เจี๊ยะ ก็ให้ความเคารพและสนิทสนมกับพระอาจารย์ทั้งสองเป็นอย่างมาก
ด้วยบุคลิกนิสัยเช่นนั้นเอง
ประวัติการปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ทั้งสาม จึงเป็นไปอย่างสนุกสนาน
โลดโผนโจนทะยาน รวมทั้งเต็มไปด้วยอารมณ์ขันอีกด้วย
วันนั้นที่ข้าพเจ้าถามพระเถระพระป่า (ไม่ขอเอ่ยนามท่าน) ข้าพเจ้าถามว่า.....ดังนี้
..หลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรอครับ....
ท่านก็จะตอบว่า..........ดูเอานี่ไงหันซ้ายหันขวา..
แล้วท่านก็.....จะทำท่าหันไปข้างซ้าย...หันไปข้างขวาให้เราดู...
คนถามก็จะอดหัวเราะไปกับท่านไม่ได้ครับ........
แล้วท่านก็เมตตาบอกว่า....ไม่สำคัญที่จะไปถามว่าพระรูปไหนสำเร็จอะไร
เราจะไปกังวลถามทำไม....
เราปฏิบัติเองเรารู้เอง..ไม่ต้องถามคนอื่น...
ทิ้งท้ายท่านเมตตาบอกว่า
แต่บุญที่ทำกับพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสนั้นได้กุศลมากเลยทีเดียวนะ....
อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง
เมื่อท่านเทศน์จบลง
อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม
พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า
“หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน
อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
“อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”
“อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”
หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“อีตอแหล!”
สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า
หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้
หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร
ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน
เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย
และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน
นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ
วันนั้นเป็นวันโกน หลวงปู่ตื้อ ท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่
กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่งอยากได้เส้นผมของ หลวงปู่
จึงบอกกับศิษย์ของหลวงปู่ว่า
“ตุ๊เจ้าๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยน่ะ”
หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า
“อย่าเลยนะคุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ ”
คุณนายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึง
ไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน
พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้ำราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น
ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้ว จึงออกมา
สนทนากับญาติโยม
คณะชาวเชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ
คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “ อะไรดีๆ ” จาก หลวงปู่
“ หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะเจ้าคะ “
หลวงปู่ตื้อ ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า
“ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ”
แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า
“ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศทุกรูป จะต้องถือ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ถ้าพระรูปไหนไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้น เป็นพระปลอม
ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ,
สังฆัง สรณัง คัจฉามิเลย ”
นี่แหละ อะไรดีๆ ที่หลวงปู่ตื้อ ท่านมอบให้คุณนายท่านนั้น
มีบางคนคิดพิเรนเล่นแปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีก ถึงกับเอาเส้นเกศา ของหลวงปู่ตื้อ
ที่ท่านโกนทิ้งแล้ว เอาไปลองยิงดู
ปรากฏว่า ยิงไม่ออก !
พอลงมือยิง ปืนไม่ลั่น ก็รีบมาบอกหลวงปู่ตื้อ อีกเช่นกัน เพื่อหวังว่า
จะให้หลวงปู่ชม ที่ตนเองค้นพบความมหัศจรรย์ ถือว่าเป็นคุณความดี เกิดขึ้นกับตัว
" หลวงปู่...หลวงปู่ครับ ผมลองเอาปืนยิงเส้นเกศาของหลวงปู่ดู
มันยิงไม่ออกนะครับหลวงปู่ "
หลวงปู่ตื้อ ย้อนถามเสียงดังว่า
" ผมกูไปลักควายพ่อมึงหรือ ผมของกูไปนอนกับแม่มึงหรือ มึงเอาผมกูไปยิงทำไม
ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อกันนะสิ "
แม้หลวงปู่ท่านจนจะกล่าวด้วยคำพูดที่ดุดัน แต่สีหน้าอาการสงบเงียบ แสดงชัดว่า
การดุด่าของท่านมิได้เป็นไปด้วยอารมณ์ปุถุชน แต่เป็น การเตือนสติ
ให้พิจารณาถึงสิ่งอันควรไม่ควร
เส้นทางเชียงใหม่ - แม่แตง ในสมัยนั้นยังไม่เจริญเอามากๆ แต่ก็มี
รถยนต์โดยสารวิ่งรับส่งผู้คนบนเส้นทางสายนี้แล้ว
ในปีที่หลวงปู่ตื้อ กำลังบุกเบิกสร้างวัดป่า ท่านจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ
ระหว่างอำเภอแม่แตงกับตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำธุระในการก่อสร้าง
จึงจำเป็นต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางไปมาอยู่บ่อยๆ
พวกรถโดยสารจะชินตากับ "หลวงตา พระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขา ผู้เฒ่าที่โกนหัว
นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่าม เดินตามต้อยๆ "
พวกรถโดยสารคงรำคาญ และหมั่นไส้หลวงตา พระป่ารูปนั้น เอาการอยู่ เพราะว่า
"พอขึ้นไปนั่งบนรถปุ๊บ พระหลวงตาก็เอาเท้า ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะปั๊บ
แล้วก็นั่งหลับตาปี๋ หลับเฉยโดยไม่สนใจใคร"
ช่างน่าเบื่อหน่าย และน่ารำคาญจริง ผู้โดยสางคนอื่นๆ นั่งห้อยขา
เบาะเดียวนั่งได้ ๓-๔ คน แต่หลวงตาแก่รูปนั้นนั่งเอ้เต้อยู่คนเดียว
เด็กหนุ่มกระเป๋ารถจึงพูดกึ่งขอร้อง กึ่งไม่พอใจ
" ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น...ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ "
" ลงบ่ได้ " หลวงปู่ตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
กระเป๋ารถเริ่มโมโห เลือดขึ้นหน้า ขณะนั้นรถกำลังตระเวนรับส่ง
ผู้โดยสารตามรายทาง
กระเป๋าหนุ่มกล่าวสบถเสียงดัง
" มันเป็นอะหยังหือ...จึงเอาตีนลงบ่ได้ "
พร้อมกันนั้นก็เอามือกระชากขาของหลวงปู่ เพื่อเอาลงจากเบาะ
ทันใด ครืด...ครืด...ครืด...ฉึก !
เครื่องยนต์ดับสนิท รถโดยสารหยุดกึกอย่างฉับพลัน ผู้โดยสารทั้งคัน
หัวคะมำไปตามๆ กัน
หลวงปู่พูดขึ้น " หลวงตาบอกแล้ว...ลงบ่ได้...ลงบ่ได้ ! "
คนขับพยายามติดเครื่องรถอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ไม่ติด
ผู้โดยสารก็ส่งใจไปลุ้น แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที
หลวงปู่พูดขึ้นว่า
" ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ "
กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ ก็ติด
รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่
เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน จากการเล่าขาน ปากต่อปาก นับจากนั้นมา
หลวงตาพระป่าแก่ๆ อยู่ในอำเภอแม่แตง จึงดังระเบิด !
รถโดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ และต่างก็อยากให้หลวงปู่ นั่งรถของตน
แม้นั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี
ที่มา http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9529065/Y9529065.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น