ผู้ติดตาม

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประชุมโคลงโลกนิติ

๏ ครรโลงโคลงโลกนิตินี้นมนาน
มีแต่โบราณกาลเก่าพร้อง
เป็นสุภาษิตสารสอนจิต
กลดั่งสร้อยสอดคล้องเวี่ยไว้ในกรรณ ฯ
๏ ทศนัขนอบน้อมมิ่งอุตมางค์
ไตรรัตน์จัดเบญจางค์แจ่มพร้อม
จักพร้องโลกนิติปางสดับแต่ เดิมพ่อ
อรรถอื่นอ้างเลศล้อมต่างต้องคัมภีร์ ฯ
๏ ถวายกรกรรพุ่มเพี้ยงบวรมาลย์มิ่งแฮ
ไตรรัตน์เรียบไตรทวารเวียดเกล้า
โลกนิติสืบสารของเก่า
เตือนจิตสาธุชนเช้าค่ำค้ำชูใจ ฯ
๏ โลกนิติในโลกล้วนแก่นสาร
คือบิดามารดาอาจารย์เจี่ยวแล้
เชาเจ้าจ่อมใจบาณทิตร่ำ เรียนแฮ
เบิกศิลปปรีชาแท้เลิศแล้วเมธี ฯ
๏ ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา
ใบก็เหม็นคาวปลาคละคลุ้ง
คือคนหมู่ไปหาคบเพื่อน พาลนา
ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้งเฟื่องให้เสียพงศ์ ฯ
๏ ใบพ้อพันห่อหุ้มกฤษณา
หอมระรวยรสพาเพริศด้วย
คือคนเสพเสน่หานักปราชญ์
ความสุขซาบฤาม้วยดุจไม้กลิ่นหอม ฯ
๏ ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้มีพรรณ
ภายนอกแดงดูฉันชาดบ้าย
ภายในย่อมแมลงวันหนอนบ่อน
ดุจดังคนใจร้ายนอกนั้นดูงาม ฯ
๏ ขนุนสุกสล้างแห่งสาขา
ภายนอกเห็นหนามหนาหนั่นแท้
ภายในย่อมรสาเอมโอช
สาธุชนนั้นแล้เลิศด้วยดวงใจ ฯ
๏ ยางขาวขนเรียบร้อยดูดี
ภายนอกหมดใสสีเปรียบฝ้าย
กินสัตว์เสพปลามีชีวิต
เฉกเช่นชนชาติร้ายนอกนั้นนวลงาม ฯ
๏ รูปแร้งดูร่างร้ายรุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชังชั่วช้า
เสพสัตว์ที่มรณังนฤโทษ
ดังจิตสาธุชนกล้ากลั่นสร้างทางผล ฯ
๏ คนพาลผู้บาปแท้ทุรจิต
ไปสู่หาบัณทิตค่ำเช้า
ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์บ่ทราบ ใจนา
คือจวักตักเข้าห่อนรู้รสแกง ฯ
๏ ผู้ใดใจฉลาดล้ำปัญญา
ได้สดับปราชญ์เจรจาอาจรู้
ยินคำบัดเดี๋ยวมาซับซาบ ใจนา
คือมลิ้นคนผู้ทราบรู้รสแกง ฯ
๏ หมูเห็นสีหราชท้าชวนรบ
กูสี่ตีนกูพบท่านไซร้
อย่ากลัวท่านอย่าหลบหลีกจาก กูนา
ท่านสี่ตีนอย่าได้วากเว้วางหนี ฯ
๏ สีหราชร้องว่าโอ้พาลหมู
ทรชาติครั้นเห็นกูเกลียดใกล้
ฤามึงใคร่รบดนูมึงมาศ เองนา
กูเกลียดมึงกูให้พ่ายแพ้ภัยตัว ฯ
๏ กบเกิดในสระใต้บัวบาน
ฤาห่อนรู้รสมาลย์หนึ่งน้อย
ภุมราอยู่ไกลสถานนับโยชน์ ก็ดี
บินโบกมาค้อยค้อยเกลือกเคล้าเสาวคนธ์ ฯ
๏ ใจชนใจชั่วช้าโฉงเฉง
ใจจักสอนใจเองไป่ได้
ใจปราชญ์ดัดตามเพลงพลันง่าย
ดุจช่างปืนดัดไม้แต่งให้ปืนตรง ฯ
๏ ไม้ค้อมมีลูกน้อมนวยงาม
คือสัปบุรุษสอนตามง่ายแท้
ไม้ผุดังคนทรามสอนยาก
ดัดก็หักแหลกแล้ห่อนรื้อโดยตาม ฯ
๏ เป็นคนควรรอบรู้สมาคม
สองประการนิยมกล่าวไว้
หนึ่งพาลหนึ่งอุดมนักปราชญ์
สองสิ่งนี้จงให้เลือกรู้สมาคม ฯ
๏ คนใดไปเสพด้วยคนพาล
จักทุกข์ทนเนานานเนิ่นแท้
ใครเสพท่วยทรงญาณเปรมปราชญ์
เสวยสุขล้ำเลิศแท้เพราะได้สดับดี ฯ
๏ ได้เห็นนักปราชญ์ไซร้เป็นสุข
อยู่ร่วมเรือนหายทุกข์ค่ำเช้า
ผู้พาลสั่งสอนปลุกใจดั่ง พาลนา
ยลเยี่ยงนกแขกเต้าตกต้องมือโจร ฯ
๏ จงนับสัปบุรุษรู้บุญกรรม์
จะละหลีกพาลอันชั่วร้าย
จงสร้างสืบบุญธรรม์ทุกเมื่อ
จงนึกนิตย์ชีพคล้ายดุจด้วยฟองชล ฯ
๏ คบกากาโหดให้เสียพงศ์
พาตระกูลเหมหงส์แหลกด้วย
คบคนชั่วจักปลงความชอบ เสียนา
ตราบลูกหลานเหลนม้วยไม่ม้วยนินทา ฯ
๏ มดแดงแมลงป่องไว้พิษหาง
งูจะเข็บพิษวางแห่งเขี้ยว
ทรชนทั่วสรรพางค์พิษอยู่
เพราะประพฤติมันเกี้ยวเกี่ยงร้ายแกมดี ฯ
๏ นาคีมีพิษเพี้ยงสุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโชแช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโสแมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้าอวดอ้างฤทธี ฯ
๏ ความรู้ผู้ปราชญ์นั้นนักเรียน
ฝนทั่งเท่าเข็มเพียรผ่ายหน้า
คนเกียจเกลียดหน่ายเวียนวนจิต
กลอุทกในตระกร้าเปี่ยมล้นฤามี ฯ
๏ กละออมเพ็ญเพียบน้ำฤาติง
โอ่งอ่างพร่องชลชิงเฟื่องหม้อ
ผู้ปราชญ์ห่อนสุงสิงเยียใหญ่
คนโฉดรู้น้อยก้อพลอดนั้นประมาณ ฯ
๏ งาสารฤาห่อนเหี้ยนหดคืน
คำกล่าวสาธุชนยืนอย่างนั้น
ทุรชนกล่าวคำฝืนคำเล่า
หัวเต่ายาวแล้วสั้นเล่ห์ลิ้นทรชน ฯ
๏ ทรชนอย่าเคียดแค้นอย่าสนิท
อย่าห่างศัตรูชิดอย่าใกล้
คือไฟถ่านแรงฤทธิ์ถือถลาก มือนา
แม้นดับแล้วบ่ไหม้หม่นต้องมือดำ ฯ
๏ มิตรพาลอย่าคบให้สนิทนัก
พาลใช่มิตรอย่ามักกล่าวใกล้
ครั้นคราวเคียดคุมชักเอาโทษ ใส่นา
รู้เหตุสิ่งใดไซร้ส่อสิ้นกลางสนาม ฯ
๏ หมาใดตัวร้ายขบบาทา
อย่าขบตอบต่อหมาอย่าขึ้ง
ทรชนชาติช่วงทารุณโทษ
อย่าโกรธอย่าหน้าบึ้งตอบถ้อยถือความ ฯ
๏ ลูกสะเดาน้ำผึ้งซาบโทรมปน
แล้วปลุกปองรสคนธ์แอบอ้อย
ตราบเท่าออกดอกผลพวงดก
ขมแห่งสะเดาน้อยหนึ่งรู้โรยรา ฯ
๏ พริกเผ็ดใครให้เผ็ดฉันใด
หนามย่อมแหลมเองใครเซี่ยมได้
จันทน์กฤษณาไฉนใครอบ หอมฤา
วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้เพราะด้วยฉลาดเอง ฯ
๏ จันทน์แห้งกลิ่นห่อนได้ดรธาน
อ้อยหีบชานยังหวานโอชอ้อย
ช้างเข้าศึกเสี่ยมสารยกย่าง งามนา
บัณทิตแม้นทุกข์ร้อยเท่ารื้อลืมธรรม ฯ
๏ ฝูงหงส์หลงเข้าสู่ฝูงกา
สีหราชเคียงโคนาคลาดเคล้า
ม้าต้นระคนลาเลวชาติ
นักปราชญ์พาลพาเต้าสีนี้ไฉนงาม ฯ
๏ แมลงวันแสวงเสพด้วยลามก
พาลชาติเสาะกิ่งรกเรื่องร้าย
ภุมราเห็จเหินหกหาบุษ บานนา
นักปราชญ์ฤาห่อนหม้ายหมั่นสู้แสวงธรรม ฯ
๏ เนื้อปองน้ำหญ้าบ่ปองทอง
ลิงบ่ปองรัตน์ปองลูกไม้
หมูปองอสุจิของหอมห่อน ปองนา
คนเคลิบเคลิ้มบ้าใบ้ห่อนรู้ปองธรรม ฯ
๏ กายเกิดพยาธิโรคร้ายยาหาย
แต่พยศยาไป่วายตราบม้วย
ชาติเสือห่อนหายลายลบผ่อง
กล้วยก็กล้วยคงกล้วยกลับกล้ายฤๅมี ฯ
๏ ขุนเขาสูงร้อยโยชน์คณนา
ขุนปราบด้วยโยธาราบได้
จักล้างพยศสาหัสยาก
ยศศักดิ์ให้เท่าให้พยศนั้นฤาหาย ฯ
๏ คบคนผู้โฉดเคลิ้มอับผล
หญิงเคียดอย่าระคนร่วมห้อง
อย่าคบหมู่ทรชนสอนยาก
บัณทิตแม้ตกต้องโทษสู้สมาคม ฯ
๏ ภูเขาอเนกล้ำหากมี
บมิหนักแผ่นธรณีหน่อยไซร้
หนักนักแต่กระลีลวงโลก
อันจักทรงทานได้แด่พื้นนรกานต์ ฯ
๏ ภูเขาทั้งแท่งล้วนศิลา
ลมพยุพัดพาบ่ขึ้น
สรรเสริญแลนินทาคนกล่าว
ใจปราชญ์ฤาเฟื่องพื้นห่อนได้จินต์จล ฯ
๏ ห้ามเพลิงไว้อย่าให้มีควัน
ห้ามสุริยแสงจันทร์ส่องไซร้
ห้ามอายุให้หันคืนเล่า
ห้ามดังนี้ไว้ได้จึ่งห้ามนินทา ฯ
๏ ภูเขาเหลือแหล่ล้วนศิลา
หามณีจินดายากได้
ฝูงชนเกิดนานาในโลก
หานักปราชญ์นั้นไซร้เลือกแล้วฤามี ฯ
๏ ป่าหลวงหลายโยชน์พร้อมพฤกษา
หาแก่นจันทน์กฤษณายากไซร้
ฝูงคนเกิดมีมาเหลือแหล่
หาปราชญ์ฤาจักได้ยากแท้ควรสงวน ฯ
๏ มัจฉามีทั่วท้องชโลธร
หาเงือกงูมังกรยากได้
ทั่วด้าวพระนครคนมาก มีนา
จักเสาะสัปปุรุษไซร้ยากแท้จักมี ฯ
๏ ดารามีมากร้อยถึงพัน
บ่เปรียบกับดวงจันทร์หนึ่งได้
คนพาลมากอนันต์ในโลก
จะเทียบเท่าปราชญ์ไซร้ยากแท้ฤาถึง ฯ
๏ เหมหงส์เลี้ยงชีพด้วยสาคร
ช้างพึ่งพนาดรป่าไหม้ (ไม้)
ภุมราบุษบากรครองร่าง ตนนา
นักปราชญ์เลี้ยงตัวได้เพื่อด้วยปัญญา ฯ
๏ นกแร้งบินได้เพื่อเวหา
หมู่จระเข้เต่าปลาพึ่งน้ำ
เข็ญใจพึ่งราชาจอมราช
ลูกอ่อนอ้อนกลืนกล้ำเพื่อน้ำนมแรง ฯ
๏ ป่าพึ่งพาลพยัคฆ์ร้ายราวี
เสือพึ่งไพรพงพีเถื่อนถ้ำ
ความชั่วพึ่งความดีเท็จพึ่ง จริงนา
เรือพึ่งแรงน้ำน้ำหากรู้คุณเรือ ฯ
๏ ตีนงูงูไซร้หากเห็นกัน
นมไก่ไก่สำคัญไก่รู้
หมู่โจรต่อโจรหันเห็นเล่ห์ กันนา
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ปราชญ์รู้ เชิงกัน ฯ
๏ มีอายุร้อยหนึ่งนานนัก
ศีลชื่อปัญจางค์จักไป่รู้
ขวบเดียวเด็กรู้รักษานิจ ศีลนา
พระตรัสสรรเสริญผู้เด็กนั้นเกิดศรี ฯ
๏ คนใดยืนอยู่ร้อยพรรษา
ใจบ่มีปรีชาโหดไร้
วันเดียวเด็กเกิดมาใจปราชญ์
สรรเพชญ์บัณฑูรไว้เด็กนั้นควรยอ ฯ
๏ คนใดยืนเหยียบร้อยขวบปี
ความอุตส่าหฤามีเท่าก้อย
เด็กเกิดขวบหนึ่งดีเพียรพาก
พระตรัสว่าเด็กน้อยนี่เนื้อเวไนย ฯ
๏ อายุถึงร้อยขวบเจียรกาล
ธัมโมชอันโอฬารบ่รู้
เด็กน้อยเกิดประมาณวันหนึ่ง
เห็นถ่องธรรมยิ่งผู้แก่ร้อยพรรษา ฯ
๏ มีอายุอยู่ร้อยปีปลาย
ความเกิดแลความตายไป่รู้
วันเดียวเด็กหญิงชายเห็นเกิด ตายนา
ลูกอ่อนนั้นยิ่งผู้แก่ร้อยปีปลาย ฯ
๏ ธิรางค์รู้ธรรมแม้มากหลาย
บ่กล่าวให้หญิงชายทั่วรู้
ดุจหญิงสกลกายงามเลิศ
อยู่ร่วมเรือนผัวผู้โหดแท้ขันที ฯ
๏ เว้นวิจารณ์ว่างเว้นสดับฟัง
เว้นที่ถามอันยังไป่รู้
เว้นเล่าลิขิตสังเกตว่าง เว้นนา
เว้นดั่งกล่าวว่าผู้ปราชญ์ได้ฤามี ฯ
๏ รู้น้อยว่ามากรู้เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ในสระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกลกลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อยมากล้ำลึกเหลือ ฯ
๏ รูปชั่วมักแต่งแกล้งเกลาทรง
ใจขลาดมักอาจองอวดสู้
น้ำพร่องกละออมคงกระฉอก ฉานนา
เฉาโฉดโอษฐ์อวดสู้ว่ารู้ใครเทียม ฯ
๏ จระเข้คับน่านน้ำไฉนหา ภักษ์เฮย
รถใหญ่กว่ารัถยายากแท้
เสือใหญ่กว่าวนาไฉนอยู่ ได้แฮ
เรือเขื่องคับชเลแล้แล่นโล้ไปไฉน ฯ
๏ มณฑกทำเทียบท้าวราชสีห์
แมวว่ากูพยัคฆีแกว่นกล้า
นกจอกว่าฤทธีกูยิ่ง ครุฑนา
คนประดากขุกมีข้ายิ่งนั้นแสนทวี ฯ
๏ หิ่งห้อยส่องก้นสู้พระจันทร์
ปัดเทียบเทียมรัตนอันเอี่ยมข้า
ทองเหลืองหลู่สุวรรณธรรมชาติ
พาลว่าตนเองอ้าอาจล้ำเลยกวี ฯ
๏ เสือผอมกวางวิ่งเข้าโจมขวิด
ไป่ว่าเสือมีฤทธิ์เลิศล้ำ
เล็บเสือดั่งคมกฤชเสือซ่อน ไว้นา
ครั้นปะปามล้มคว่ำจึ่งรู้จักเสือ ฯ
๏ ทองเหลืองเปลื้องร้ายห่อนเห็นมี
ขัดเท่าขัดราคีเล่าไซร้
นพคุณหมดใสสีเสร็จโทษ
ถึงบ่แต่งตั้งไว้แจ่มแจ้งไพบูลย์ ฯ
๏ พระสมุทรไหวหวาดห้วยคลองสรวล
เมรุพลวกปลวกสำรวลร่าเร้า
สีหราชร่ำคร่ำครวญสุนัขเยาะ หยันนา
สุริยส่องยามเย็นเข้าหิ่งห้อยยินดี ฯ
๏ แมวล่าหนูแซ่ซี้จรจรัล
หมาล่าวิฬาร์ผันสู่หล้าง
ครูล่าศิษย์และธรรม์คบเพื่อน พาลนา
เสือล่าป่าแรมร้างหมดไม้ไพรสณฑ์ ฯ
๏ จามรีขนข้องอยู่หยุดปลด
ชีพบ่รักรักยศยิ่งไซร้
สัตว์โลกซึ่งสมมติมีชาติ
ดูเยี่ยงสัตว์นั้นได้ยศซ้องสรรเสริญ ฯ
๏ นพคุณใส่เบ้าสูบแสนที
ค้อนเหล็กรุมรันตีห่อนม้วย
บ่เจ็บเท่าธุลีสักหยาด
เจ็บแต่ท่านชั่งด้วยกล่ำน้อยหัวดำ ฯ
๏ เสียสินสงวนศักดิ์ไว้วงศ์หงส์
เสียศักดิ์สู้ประสงค์สิ่งรู้
เสียรู้เร่งดำรงความสัตย์ ไว้นา
เสียสัตย์อย่าเสียสู้ชีพม้วยมรณา ฯ
๏ ตัดจันทน์ฟันม่วงไม้จัมบก
แปลงปลูกหนามรามรกรอบเรื้อ
ฆ่าหงส์มยุรนกกระเหว่า เสียนา
เลี้ยงหมู่กากินเนื้อว่ารู้ลีลา ฯ
๏ วัดช้างเบื้องบาทรู้จักสาร
วัดอุทกชักกมุทมาลย์แม่นรู้
ดูครูสดับโวหารสอนศิษย์
ดูตระกูลเผ่าผู้เพื่อด้วยเจรจา ฯ
๏ พระสมุทรสุดลึกล้นคณนา
สายดิ่งทิ้งทอดวาหยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวากำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง ฯ
๏ ไม้ล้มควรข้ามได้โดยหมาย
คนล้มจักข้ามกรายห่อนได้
ทำชอบชอบห่อนหายชอบกลับ สนองนา
ทำผิดผิดจักให้โทษแท้ถึงตน ฯ
๏ ทรชนยากไร้อย่าทำคุณ
อย่าหยิบทรัพย์อุดหนุนหย่อนให้
ก่อเกื้อเกือบเกินทุนมันมั่ง มีนา
ครั้นค่อยคลายวายไร้กลับสู้ดูแคลน ฯ
๏ เทพาพันเทพเรื้องฤทธิรงค์
บ่เท่าพระอินทร์องค์หนึ่งได้
คุณพันหนึ่งดำรงความชอบ ไว้นา
มีโทษอันหนึ่งไซร้กลบกล้ำพันคุณ ฯ
๏ ใครซื่อซื่อต่อตั้งตามกัน
ใครคดคดผ่อนผันตอบเต้า
ทองแดงว่าสุวรรณยังถ่อง เหมือนฤา
ดุจลูกสูส่องเถ้าว่าโอ้เป็นลิง ฯ
๏ รักกันอยู่ขอบฟ้าเขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียวร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียวตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้องป่าไม้มาบัง ฯ
๏ ให้ท่านท่านจักให้ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปองนอบไหว้
รักท่านท่านควรครองความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้แต่ผู้ทรชน ฯ
๏ แม้นมีความรู้ดั่งสัพพัญญู
ผิบ่มีคนชูห่อนขึ้น
หัวแหวนค่าเมืองตรูตาโลก
ทองบ่รองรับพื้นห่อนแก้วมีศรี ฯ
๏ ราชรถปรากฏด้วยธงไชย      
ควันประจักษ์แก่ไฟเที่ยงแท้
ราชาอิสระในไอสมบัติ
ชายย่อมเฉลิมเลิศแล้ปิ่นแก้วเกศหญิง ฯ
๏ กระเหว่าเสียงเพราะแท้แก่ตัว
หญิงเลิศเพราะรักผัวแม่นหมั้น
นักปราชญ์มาตรรูปมัวหมองเงื่อน งามนา
เพราะเพื่อรสธรรมนั้นส่องให้เห็นงาม ฯ
๏ นารายณ์วายเว้นจากอาภรณ์
อากาศขาดสุริยจรแจ่มหล้า
เมืองใดบ่มีวรนักปราชญ์
แม้ว่างามล้นฟ้าห่อนได้งามเลย ฯ
๏ เจ็ดวันเว้นดีดซ้อมดนตรี
อักขระห้าวันหนีเนิ่นช้า
สามวันจากนารีเป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้าอับเศร้าศรีหมอง ฯ
๏ ใครจักผูกโลกแม้รัดรึง
เหล็กเท่าลำตาลตรึงไป่หมั้น
มนตร์ยาผูกนานหึงหายเสื่อม
ผูกเพื่อไมตรีนั้นแน่นเท้าวันตาย ฯ
๏ จำสารสับปลอกเกี้ยวตีนสาร
จำนาคมนตร์โอฬารผูกแท้
จำคนเพื่อใจหวานต่างปลอก
จำโลกนี้นั่นแล้แต่ด้วยไมตรี ฯ
๏ ผจญคนมักโกรธด้วยไมตรี
ผจญหมู่ทรชนดีต่อตั้ง
ผจญคนจิตโลภมีทรัพย์เผื่อ แผ่นา
ผจญอสัตย์ให้ยั้งหยุดด้วยสัตยา ฯ
๏ คนใดคนหนึ่งผู้ใจฉกรรจ์
เคียดฆ่าคนอนันต์หนักแท้
ไป่ปานบุรุษอันผจญจิต เองนา
เธียรท่านเยินยอแล้ว่าผู้มีชัย ฯ
๏ สงครามแสวงท่วยแกล้วอาสา
กลคดีพึงหาท่านรู้
ยามกินรสโอชาชวนเพื่อน กินนา
หาปราชญ์ล่ำเลิศผู้เมื่อแก้ปริศนา ฯ
๏ แสวงรู้พึงคบด้วยบัณฑิต
แสวงทรัพย์คบพาณิชง่ายไซร้
แสวงหายศศักดิ์ชิดชอบราช
ผิใคร่ได้ลูกไซร้เสพส้องเมียสาว ฯ
๏ ร้อยคนหาแกว่นแกล้วกลางณรงค์
พันหนึ่งหาปัญญายงยิ่งรู้
แสนคนเสาะคนตรงยังยาก
ไม่เท่าคนหนึ่งผู้อาจอ้างอวยทาน ฯ
๏ เมื่อน้อยเรียนเร่งรู้วิชา
ครั้นใหญ่หาสินมาสู้เหย้า
เมื่อกลางแก่ศรัทธาทำแต่ บุญนา
ครั้งแก่แรงวอกเว้าห่อนได้เป็นการ ฯ
๏ ความรู้ดูยิ่งล้ำสินทรัพย์
คิดค่าควรเมืองนับยิ่งไซร้
เพราะเหตุจักอยู่กับกายอาต มานา
โจรจักเบียนบ่ได้เร่งรู้เรียนเอา ฯ
๏ คนใดโผงพูดโอ้อึงดัง
อวดว่ากล้าอย่าฟังสัปปลี้
หมาเห่าเล่าอย่าหวังจักขบ ใครนา
สองเหล่าเขาหมู่นี้ชาติเชื้อเดียวกัน ฯ
๏ สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อใจตน
กินกัดเนื้อเหล็กจนกร่อนขร้ำ
บาปเกิดแก่ตนคนเป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำใส่ผู้บาปเอง ฯ
๏ ฟักแฟงแตงเต้าถั่วงายล
หว่านสิ่งใดให้ผลสิ่งนั้น
ทำทานหว่านกุศลผลเพิ่ม พูนนา
ทำบาปบาปซั้นซั้นไล่เลี้ยวตามตน ฯ
๏ มีสินฤาเท่าผู้มีคุณ
ข้าศึกฤาปานปุนพยาธิไซร้
รักใดจัดเพิ่มพุนรักอาต มานา
แรงอื่นฤาจักได้เท่าด้วยแรงกรรม ฯ
๏ อย่าโทษไทท้าวท่วยเทวา
อย่าโทษสถานภูผาย่านกว้าง
อย่าโทษหมู่วงศามิตรญาติ
โทษแต่กรรมเองสร้างส่งให้เป็นเอง ฯ
๏ หมอแพทย์ว่าไข้ลมคุม
โหรว่าเคราะห์แรงรุมโทษให้
แม่มดว่าผีกุมทำโทษ
ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้ก่อสร้างมาเอง ฯ
๏ ดูข้าดูเมื่อใช้การหนัก
ดูมิตรพงศารักเมื่อไร้
ดูเมียเมื่อไข้จักจวนชีพ
อาจจักรู้จิตไว้ว่าร้ายฤาดี ฯ
๏ ช้างสารหกศอกไซร้เสียงา
งูเห่ากลายเป็นปลาอย่าต้อง
ข้าเก่าเกิดแต่ตาตนปู่ ก็ดี
เมียรักนอนร่วมห้องอย่าไว้วางใจ ฯ
๏ โทษท่านผู้อื่นเพี้ยงเมล็ดงา
ปองติฉินนินทาห่อนเว้น
โทษตนเท่าภูผาหนักยิ่ง
ป้องปิดคิดซ่อนเร้นเรื่องร้ายหายสูญ ฯ
๏ บรรทมยามหนึ่งไท้ทรงฤทธิ์
หกทุ่มหมู่บัณฑิตทั่วแท้
สามยามพวกพาณิชนรชาติ
นอนสี่ยามนั้นแลเที่ยงแท้เดียรฉาน ฯ
๏ ราชาธิราชน้อมในสัตย์
อำมาตย์เป็นบรรทัดถ่องแท้
ฝูงราษฎร์อยู่ศรีสวัสดิ์ทุกเมื่อ
เมืองดั่งนี้เลิศแล้ไพร่ฟ้าเปรมปรีดิ์ ฯ
๏ ข้าท่านคร้านหลีกเจ้าจากเจียร
ชีบ่เล่าเรียนเขียนอ่านไซร้
ชาวนาละความเพียรไถถาก
สามสิ่งนี้โหดให้โทษแท้คนฉิน ฯ
๏ นกน้อยขนน้อยแต่พอตัว
รังแต่งจุเมียผัวอยู่ได้
มักใหญ่ย่อมคนหวัวไพเพศ
ทำแต่พอตัวไซร้อย่าให้คนหยัน ฯ
๏ เริ่มการตรองตรึงไว้ในใจ
การจะลุจึงไขข่าวแจ้ง
เดื่อดอกออกห่อนใครเห็นดอก
ผลผลิตติดแล้วแผร้งแพร่ให้คนเห็น ฯ
๏ อายครูไซร้ถ่อยรู้วิชา
อายแก่ราชาคลายศแท้
อายแก่ภรรยาหาบุตรแต่ ไหนมา
อายกับทำบุญแล้สุขนั้นฤามี ฯ
๏ หลีกเกวียนให้หลีกห้าศอกหมาย
ม้าหลีกสิบศอกกรายอย่าใกล้
ช้างสี่สิบศอกคลายคลาคลาด
เห็นทุรชนหลีกให้ห่างพ้นลับตา ฯ
๏ คนใดละพ่อทั้งมารดา
อันทุพพลชราภาพแล้ว
ขับไล่ไม่มีปรานีเนตร
คนดั่งนี้ฤาแคล้วคลาดพ้นไภยัน ฯ
๏ พายเถิดพ่ออย่ารั้งรอพาย
จวนตะวันจักสายส่องฟ้า
ของสดสิ่งควรขายจักขาด ค่าแฮ
ตระลาดเลิกแล้วอ้าบ่นอื้อเอาใคร ฯ
๏ ก้านบัวบอกตื้นลึกชลธาร
มารยาทส่อสันดานชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขานควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแร้งเรื้อบอกร้ายแสลงดิน ฯ
๏ อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้ามาถนอม
สูงสุดมือมักตรอมอกไข้
เด็ดแต่ดอกพยอมยามยาก ชมนา
สูงก็สอยด้วยไม้อาจเอื้อมเอาถึง ฯ
๏ ถึงจนทนสู้กัดกินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือพวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้องจับเนื้อกินเอง ฯ
๏ ไกรสรแสบท้องแทบเสียชี วิตแฮ
บ่ภักษ์ผลไม้มีป่ากว้าง
ไกรสรซูบอินทรีย์สมเพช ก็ดี
บ่ภักษ์รสเนื้อช้างดั่งนี้ธรรมดา ฯ
๏ อย่าขุดขอดท่านด้วยวาจา
อย่าถากท่านด้วยตาติค้อน
ฟังคำกล่าวมฤษาโสตหนึ่ง นะพ่อ
หยิบบ่ศัพท์กลับย้อนโทษให้กับตน ฯ
๏ อย่าชักน้ำน่านเข้าคลองคู
อย่าแนะเศึกศัตรูสู่เหย้า
ไฟในอย่าเชิดชูนำออก
ไฟนอกอย่านำเข้าหม่นไหม้มัวหมอง ฯ
๏ ขันขันขุยฆ่าไม้หนามมี
คิดพ่างผลกทลีฆ่ากล้วย
ลูกม้าฆ่าชนนีลาเกิด ตนนา
ลาภฆ่าคนโลภม้วยดุจไม้มีหนาม ฯ
๏ เบิกทรัพย์วันละบาทซื้อมังสา
นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆาไป่อ้วน
สองสามสี่นายมากำกับ กันแฮ
บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วนบาทสิ้นเสือตาย ฯ
๏ โคควายวายชีพได้เขาหนัง
เป็นสิ่งเป็นอันยังอยู่ไซร้
คนเด็ดดับสูญสังขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้แต่ร้ายกับดี ฯ
๏ ฆ่าควายหมายแล่ล้มตัวแพง
กลัวแต่เสียเครื่องแกงห่อนได้
เฉกเช่นจักจัดแจงการใหญ่ เหย้าแฮ
เกรงแต่มักหมดไม้ห่อนได้เรือนงาม ฯ
๏ สิกขาบทยิ่งล้ำคัมภีร์
เป็นพิษแก่อลัชชีโฉดแท้
คุณธรรม์สิ่งสรรพ์ดีในโลก
เป็นพิษแก่พาลแล้ห่อนได้สดับจำ ฯ
๏ ยอข้ายอเมื่อแล้วการกิจ
ยอยกครูยอสนิทซึ่งหน้า
ยอญาติประยูรมิตรเมื่อลับ หลังแฮ
คนหยิ่งแบกยศบ้าอย่ายั้งยอควร ฯ
๏ เป็นคนคิดแล้วจึ่งเจรจา
อย่ามลนหลับตาแต่ได้
เลือกสรรหมั่นปัญญาตรองตรึก
สติริรอบให้ถูกแล้วจึงทำ ฯ
๏ เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้วแหนงหนี
หาง่าย หลายหมื่นมีมากได้
เพื่อนตาย ถ่ายแทนชีวาอาตม์
หากยาก ฝากผีไข้ยากแท้จักหา ฯ
๏ อ่อนหวานมานมิตรล้นเหลือหลาย
หยาบบ่มีเกลอกรายเกลื่อนใกล้
ดุจดวงศศิฉายดาวดาษ ประดับนา
สุริยส่องดาราไร้เมื่อร้อนแรงแสง ฯ
๏ คนพาลพวกหนึ่งน้ำใจหาญ
รู้ว่าตนเป็นพาลกระด้าง
พวกนี้วัจนาจารย์จัดใช่ พาลพ่อ
นับว่าปราชญ์ได้บ้างเพื่อรู้สึกตน ฯ
๏ นารีเสาวภาครูปเป็นทรัพย์
ชายมีความรู้สรรพทรัพย์ได้
พราหมณ์รู้เวทยานับว่าทรัพย์ พราหมณ์นา
ภิกษุเกิดทรัพย์ไซร้เพื่อรู้ธรรมา ฯ
๏ พญากลัวข้าศึกเบียดเบียน
ชี้บ่เล่าเรียนเขียนอ่านไซร้
ชาวนาละความเพียรคร้านเกี่ยว การนา
ทั้งสามสิ่งนี้ให้โทษแท้สาธารณ์ ฯ
๏ ชาติ เกิดรูปพร้อมอาการ
ชรา ร่างสาธารณ์เหี่ยวแห้ง
พยาธิ บันดาลต่าง ต่าง
มรณะ กาแร้งแย่งยื้อกันกิน ฯ
๏ สารสืบฉบับสิ้นเสร็จสนอง
ชำระเรื่องคงของเก่าแท้
ผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงลองลิขิต เดิมนา
ล้วนโอวาทปราชญ์แท้ถี่ถ้วนควรถนอม ฯ
            

พระนิพนธ์: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น